ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 หลายประเทศ อาทิ จีน อินเดีย เกาหลี และแอฟริกาใต้ ต่างก็มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิมมาใช้ในการสู้กับการระบาดของโรค ในส่วนของประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกัน ที่มีศักยภาพไม่ด้อยกว่าชาติอื่น โดยได้นำยาสมุนไพร “ฟ้าทะลายโจร” มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19
เรื่องนี้คงต้องให้เครดิตกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่มีการพูดถึงฟ้าทะลายโจร เป็นหน่วยงานแรกตั้งแต่มกราคม 2563 ส่งผลให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้นำฟ้าทะลายโจรไปศึกษาวิจัยกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 และพบว่าสารสกัดของฟ้าทะลายโจรและสารแอนโดรกราโฟไลด์เดี่ยว ต่างก็มีฤทธิ์ในต้านเชื้อและยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสชนิดนี้ จนนำไปสู่การวิจัยในคน และการใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่ง
จนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ที่มี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นประธาน ได้รับยาฟ้าทะลายโจร ทั้งสารสกัดและรูปแบบผงยา เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ โดยให้ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย เพื่อลดการเกิดโรคที่รุนแรง โดยระบุว่าต้องใช้ยาฟ้าทะลายโจรที่มีสารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ขนาด 180 มิลลิกรัม และมีเงื่อนไขให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกพัฒนาโครงการวิจัยเพื่อศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาโควิด-19 มาเสนอต่อคณะอนุกรรมการภายใน 2 เดือนหลังจากพิจารณารับฟ้าทะลายโจรเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว
ท่ามกลางความดีใจว่าสมุนไพรได้รับการยอมรับให้ใช้ในโรคที่ซับซ้อน กลับมีกระแสเรียกร้องจากภาคประชาชนถึงการผลักดันให้มีการใช้ฟ้าทะลายโจรขนาดสูงในผู้ป่วย และตั้งข้อสังเกตถึงความพยายามในการส่งเสริมให้ใช้สารสกัด มากกว่าที่จะเป็นผงยาฟ้าทะลายโจรของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ตามที่เป็นข่าวทางสื่อต่างๆ
ซึ่งผู้ที่ออกมาคัดค้านชัดเจนอย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ที่พูดผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ถึงฟ้าทะลายโจรติดต่อกันหลายตอน รวมถึงอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้ออกมาคัดค้านและเปิดเผยข้อมูลของยาฟ้าทะลายโจรและฟาวิพิราเวียร์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว
นอกจากนี้ นางสาวรสนา โตสิตระกูล เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทยก็เห็นแย้งในการใช้ฟ้าทะลายโจรขนาดสูง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงในการนำฟ้าทะลายโจรหลากหลายแบรนด์ ซึ่งทั้งหมดเป็นผงยาฟ้าทะลายโจร ไม่ใช่สารสกัด ไปแจกจ่ายให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงในชุมชนแออัด
โดยทั้งสามมีข้อเรียกร้องให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเร่งรัดศึกษาวิจัยผงยาฟ้าทะลายโจรควบคู่ไปกับสารสกัดฟ้าทะลายโจร เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพภาคประชาชน และเป็นโอกาสของเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง เพราะโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็เคยออกมาให้ข้อมูลว่า จากประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกับเกษตรกร ใบฟ้าทะลายโจรที่เก็บในช่วงออกดอกไม่เกิน 30% ให้สารแอนโดรกราโฟไลด์ขนาดสูงถึง 4% ในขณะที่การสกัดในประเทศที่ทำได้ทั่วไปในขณะนี้เป็น 6% มีจำนวนไม่มากที่สามารถสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ได้ 10% ดังนั้นการยกระดับองค์ความรู้การวิจัยเกษตรกรรมจะช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรที่ปลูกฟ้าทะลายโจรได้อย่างมาก
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในฐานะเป็นผู้บุกเบิกสมุนไพรไทย ได้นำเสนอข้อมูลการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยและผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุขเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ขนาด 12 มิลลิกรัม/แคปซูล รับประทานครั้งละ 4 แคปซูลวันละ 3 ครั้ง คิดเป็นขนาดแอนโดรกราโฟไลด์รวม 144 มิลลิกรัม/วัน ทำให้ผู้ป่วยแรกรับที่โรงพยาบาลสนามจำนวน 16 ราย จาก 17 ราย ไม่พัฒนาไปเป็นปอดอักเสบ
ในขณะเดียวกันผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบของทางโรงพยาบาลก็มีการใช้ฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์ ทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพียง 2 ราย จากจำนวนผู้ป่วย 384 ราย ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ย้ำกับคณะกรรมาธิการว่าตัวเลขดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแนวโน้มให้เห็นถึงประโยชน์ของฟ้าทะลายโจร เพราะยังมีปัจจัยอีกหลากหลายที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ยังได้รับการร้องขอจากโรงพยาบาลสนามในหลายจังหวัด ทั้ง จ.ฉะเชิงเทรา จ.ระยอง และ จ.เพชรบุรี รวมทั้งเรือนจำหลายแห่งที่จะนำยาฟ้าทะลายโจรของอภัยภูเบศรไปใช้ ซึ่งทางโรงพยาบาลจะประสานขอข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และจัดทำเป็นงานวิจัยต่อไป อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้ส่งสารสกัดฟ้าทะลายโจรไปให้มหาวิทยาลัยมหิดลศึกษากลไกการออกฤทธิ์ต้านเชื้อโควิด-19 จนได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Natural products และกำลังวางแผนวิจัยต่อในสัตว์
ในส่วนของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของขนาดยาดังกล่าว ยังไม่ตรงกันนักในที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ ภายใต้คณะอนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ผู้แทนกรมการแพทย์แผนไทยได้ชี้แจงว่ามาจากการทบทวนวรรณกรรมขนาดยาในต่างประเทศที่พบว่า แอนโดรกราโฟไลด์ขนาด 180 มิลลิกรัม เป็นขนาดยาสูงสุดที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
แต่ในที่ประชุมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการชี้แจงกับแพทย์แผนไทยและผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ผู้แทนกรมการแพทย์แผนไทยแจ้งว่า การคำนวณขนาดยาฟ้าทะลายโจรนั้นคำนวณมาจากค่า IC50 ซึ่งเป็นค่าที่ใช้ในทางเภสัชกรรมเพื่อวัดการออกฤทธิ์ของยาหรือสารเคมี IC50 มาจากคำว่า 50% InhibitoryConcentration หมายถึงความเข้มของสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งได้ 50% ซึ่งค่านี้ได้จากการทดลองในหลอดทดลองของกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายงุนงงในคำตอบที่ไม่ตรงกัน
อีกทั้งประเด็นทางวิชาการที่ว่า การคำนวณขนาดยาส่วนใหญ่ต้องคำนวณจากขนาดการทดลองในสัตว์ หรือขนาดยาที่ใช้ดั้งเดิมในโรคใกล้เคียง เหตุใดกรมการแพทย์แผนไทยจึงใช้การคำนวณขนาดยาจากหลอดทดลองหรือการทบทวนเอกสารทางวิชาการในโรคทางเดินหายใจส่วนบน
ความจริงแล้วนั้นฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่มีโอกาสดีสามารถพัฒนาเป็นโปรดักส์ แชมเปี้ยนของประเทศไทยได้ เพราะในต่างประเทศ ทั้งในจีน สิงคโปร์ อินเดีย ต่างก็นำฟ้าทะลายโจรมาใช้ในการักษาโควิด-19 โดยเฉพาะจีน ที่พัฒนาให้อยู่ในรูปแบบยาฉีด และเพิ่งมีงานวิจัยว่ายาฉีดฟ้าทะลายโจรช่วยลดอาการอักเสบที่ปอดของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ดี
ส่วนในยุโรป ต้องบอกว่ามีการนำฟ้าทะลายโจรไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ ปี 1990 และมีการพัฒนาสารสกัดที่ควบคุมสาระสำคัญหลายชนิดที่มากกว่าแอนโดรกราโฟไลด์ ทำเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ โดยใช้ในข้อบ่งใช้เสริมภูมิคุ้มกัน บรรเทาหวัด และปัจจุบันเริ่มมีการนำไปใช้ในผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคทางภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่ง
ดังนั้นหากประเทศไทยใช้โอกาสนี้ในการเร่งศึกษาวิจัยก็คงจะมีโอกาสมีผลิตภัณฑ์ของตนเอง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ การวิจัยที่ไม่อิงวิชาการและบริบทของประเทศ ทำให้เกิดความไม่ยอมรับ การเดินหน้าต่อก็ดูจะต้องฝ่าวิบากของการคัดค้าน
หนึ่งในข้อเสนอแนะที่จะนำไปสู่ทางที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยอมนำยาผงบดฟ้าทะลายโจรเข้าไปรวมในโครงการวิจัยของตัวเอง และเสนอต่ออนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ติดตามการใช้อย่างเป็นระบบ ดึงแพทย์แผนปัจจุบันที่มีความรู้เข้ามาร่วมทีม ก็จะถือว่าเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดของประเทศชาติในยามนี้
ที่ต้องการความร่วมมือ และพัฒนาข้อมูลบนฐานทางวิชาการเพื่อเอาชนะวิกฤติที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ไปด้วยกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี