เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้กล่าวถึงการบูรณะภูเขาจำลอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานอดีตประธานาธิบดีของเวียดนาม “โฮจิมินห์” อนุสรณ์สถานและภูเขาจำลองแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นี่เอง
ต่อไปอนุสรณ์สถานนี้ก็คงจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับชาวเวียดนามจากฮานอยจรด โฮจิมินห์ซิตี้ ลงไปถึงแหลมก่ามาว (แหลมญวน) จากเหนือจรดใต้ความยาวกว่า 2,000 กม. จะต้องเดินทางมาคารวะ วีรบุรุษของชาติเวียดนาม ณ จังหวัดนครพนม
คล้ายกับที่ชาวพุทธจำนวนมาก ต้องเดินทางไปสักการะเวชนียสถาน 4 แห่งในอินเดียและเนปาล
แม้แต่นักท่องเที่ยวคนไทย ซึ่งสามารถตระเวนเลาะฝั่งโขงตั้งแต่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ลงไปถึงอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางไม่ต่ำ กว่า 1,000 กม. ก็น่าจะได้แวะชมอนุสรณ์สถานแห่งนี้ และนำมาวิเคราะห์พิจารณาว่า คนเวียดนามมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งเพียงใด (Strong Culture) จึงมีสมาคมชาวเวียดนามแห่งประเทศไทย และสมาคมไทย-เวียดนามในจังหวัดต่างๆ มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งแสนคนเป็นศูนย์กลางให้สมาชิกสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของเวียดนาม และยังสั่งสอนให้สมาชิกประกอบสัมมาชีพอย่างซื่อสัตย์สุจริต เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศไทย ปฏิบัติตามกฎหมาย จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตอบแทนบุญคุณแก่ประเทศไทยที่ให้พำนักอาศัย หรือเป็นมาตุภูมิของคนไทยเชื้อสายเวียดนามรุ่นต่อๆ ไป
เรื่องเช่นนี้มิใช่เรื่องใหม่ เป็นมานับร้อยปีแล้ว คนจีน คนฝรั่ง คนอิหร่าน คนศรีลังกา คนอินเดีย ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย ก็ต้องพยายามรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ก่อน เป็นของธรรมดาและตามธรรมชาติ ต่อเมื่ออยู่ไปนานๆ ก็ค่อยๆ รับวัฒนธรรมของดินแดนที่ตนมาพำนักอาศัย จนเป็นมาตุภูมิของลูกหลานของตน และรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์และผืนดินเกิด จนได้เป็น อัครมหาเสนาบดี นายกรัฐมนตรี องคมนตรี รัฐมนตรี ประธานสภา ผู้พิพากษาศาลสูง ตลอดจน เป็นอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดกันมากมาย จนกลายมาเป็นชนชาติไทย 100 เปอร์เซ็นต์กันแทบทั้งนั้น
แล้วทำไมเราจะไม่มีบุคคลสำคัญของประเทศ ที่เป็นคนไทยเชื้อสายเวียดนามบ้างในอนาคต
จากการวิเคราะห์ จะเห็นได้ว่า ผู้คนที่อพยพมาจากดินแดนอื่น เมื่อเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ ในประเทศไทยนานๆ ก็จะกลายเป็นคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ที่รักและทดแทนคุณแผ่นดินเกิดมาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะวัฒนธรรมไทยในอดีตถือเป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง (Strong Culture) มีการสืบสาน บำรุงรักษา และพัฒนาให้ก้าวหน้ามาโดยตลอด โดยพระบูรพกษัตริย์ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นด้าน การแต่งกาย ภาษาที่งดงามไพเราะ ประเพณีต่างๆ ที่สืบสานกันมา ความกตัญญูกตเวที ความมีระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเพื่อประเทศชาติ
ผู้คนที่อพยพมาจากดินแดนอื่น ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง จึงสามารถยอมรับให้มากลมกลืน (Assimilation) กับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนได้ และกลายมาเป็นชนชาติไทย (เชื้อสายต่างๆ) ได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน
แต่ในยุคปัจจุบัน หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ.2475 วัฒนธรรมอันดีงามของชนชาติไทยในอดีตค่อยๆ เสื่อมถอยไป ผู้คนมักจะเห็นแก่ประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ความซื่อสัตย์สุจริตลดน้อยลง การทุจริตคอร์รัปชั่นเจริญงอกงามขึ้น จริยธรรมและคุณธรรมลดน้อยลง การเล่นพรรคเล่นพวกมีมากขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ ลี กวน ยู เคยปลุกใจชาวสิงคโปร์ว่า หากมีวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น พวกท่านทั้งหลายจะต้องตกมาจากตึกระฟ้าอย่างรุนแรง (Hard landing) ส่วนคนไทยนั้นถึงแม้จะมีวัฒนธรรมที่อ่อนแอ (Soft Culture) แรงตกตึกของเขาก็จะเป็นแค่เบาะ ๆ (Soft landing) เพราะเขามี ไร่นา ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นทุนสำรองอยู่
ขนาดผู้นำของประเทศเพื่อนบ้าน ยังมองเห็นว่าในยุคประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Paliamentarian Democracy) ของไทย วัฒนธรรมของเรากลายเป็นวัฒนธรรมที่อ่อนแอ (Soft Culture) แล้วผู้นำ ของไทยนักการเมือง ผู้ใช้อำนาจบริหาร (คณะรัฐมนตรี), ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สส., สว.) และผู้ใช้อำนาจตุลาการ (ผู้กำกับด้านความยุติธรรม) แทนปวงชนชาวไทยจะไม่มองเห็นบ้างหรือไร จะไม่หาทางแก้ไขหรือ
สิ่งใดที่เข้มแข็งกว่า (Stronger) ก็ต้องเข้ามาครอบงำสิ่งที่อ่อนแอกว่า (Softer) อย่างแน่นอน ไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศ เศรษฐกิจครัวเรือนของประชาชนและวัฒนธรรมของชาติ
ไม่ใช่ ลี กวน ยู แห่งสิงคโปร์ ที่ทั่วโลกยอมรับนับถือเพียงคนเดียว ที่เห็นว่าในปัจจุบันไทย มีวัฒนธรรมที่อ่อนแอ (Soft Culture) คนต่างชาติอื่นอีกหลายคนก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้อย่างน่าฟัง ไม่ว่าจะเป็นอดีต เอกอัครราชทูตจีนในประเทศไทยท่านหนึ่ง (คนที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจน) หรือหัวหน้าสำนักงานการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น เมื่อกลับไปจีนและญี่ปุ่น ก็ได้เขียนรายงานสรุปสภาพทางวัฒนธรรมของไทย ก็ล้วนแต่เห็นว่าวัฒนธรรม ศีลธรรม ของชนชาติไทยเสื่อมโทรมไปอย่างไรบทความนี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะได้เคยพบเห็นมาแล้ว เพราะมีการเผยแพร่ไปแล้วอย่างกว้างขวางมาก
นอกจากนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมของเราในรอบ 2-3 ปีที่แล้ว ก็อื้อฉาวไปทั่วโลกอันแสดงถึงอำนาจเงินเป็นใหญ่ สามารถทำให้ผู้ผิดพ้นผิดได้ เงินสามารถซื้ออะไรก็ได้ในประเทศไทย อำนาจสามารถเปลี่ยนความผิดเป็นความถูกได้ นี่คือสภาพของวัฒนธรรมที่อ่อนแอ ที่ชนชาติไทยกำลังประสบอยู่
ใครเล่าจะแก้ไขได้ ก็ต้องไล่มาตั้งแต่ต้นกระบวน อันได้แก่ ประมุขของอำนาจบริหารและคณะ ประมุขของอำนาจนิติบัญญัติและคณะ ประมุขของอำนาจตุลาการและคณะ เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดแทนปวงชนชาวไทย ตามระบอบประชาธิปไตย ระบอบรัฐสภา (Paliamentarian Democracy)
ถัดมาก็ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทุกกระทรวง ทบวง กรม โดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาต่างๆ
รองลงมาอีกก็คือ หัวหน้าชุมชน หัวหน้าครอบครัว ที่จะต้องอบรมสั่งสอนลูกหลาน ให้สืบสานวัฒนธรรมที่ดีของไทยต่อไป จนกลับมาเป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง (Strong Culture) ได้อีก
มิใช่ปล่อยให้วัฒนธรรมไทยต้องถดถอย อ่อนแอลงและสูญหายไป โดยมีวัฒนธรรมอื่นเข้ามาแทนที่
แล้วชาติไทยจะดำรงอยู่ได้อย่างไรฤา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี