ตัวชี้วัดที่สำคัญตัวหนึ่งของความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ ความเจริญทางเศรษฐกิจ ที่มีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าประมาณ 15,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 500,000 บาทต่อคนต่อปี
ประเทศที่พัฒนาแล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่ม OECD(Organization for Economic Cooperation and Development) หรือองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
กลุ่ม OECD ได้ร่วมกันประเมินสมรรถนะของประชากรของประเทศสมาชิก ด้วยการประเมินการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ของนักเรียนอายุ 15 ปี ที่ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) หรือการอ่านแล้วรู้เรื่อง เพื่อประเมินสมรรถนะในการสื่อสารของประชากรอีกด้วย
ด้วยการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ และการอ่านรู้เรื่อง ของประชากร มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กลุ่ม OECD จึงทำระบบการประเมินใน 3 เรื่องดังกล่าวขึ้นมา เรียกว่า Programme for International Student Assessment ที่รู้จักกันดีในชื่อ PISA
การประเมิน PISA จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2000 หรือ พ.ศ.2543 และมีจัดการประเมินทุกๆ 3 ปี ต่อมาจนถึงทุกวันนี้
การประเมินในแต่ละครั้ง มีชื่อย่อว่า PISA2000 PISA2003 PISA2006 PISA2009 PISA2012 PISA2015 และครั้งหลังสุด PISA2018 ในปี 2561
ในปัจจุบัน นานาชาติได้ใช้คะแนนเฉลี่ย PISA เป็น “ตัวชี้วัดคุณภาพการศึกษา” ของประเทศนั้นๆ
สำหรับการประเมินในครั้งต่อไป ที่ควรจะมีขึ้นในปีนี้ 2564 แต่ได้มีการเลื่อนออกไปอีก 1 ปี เป็น PISA2022 ในปี 2565 จากการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสโควิด-19
ประเทศไทย ได้มีความเข้าใจดี ว่าสมรรถนะที่ดีของประชากรด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
จึงได้ตั้ง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ขึ้นในปี 2513 เพื่อส่งเสริมการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนทั่วประเทศ
หลังจากนั้นอีกประมาณ 30 ปี ได้มีการตั้งโรงเรียนเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อเน้นให้การศึกษานักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ประเทศไทยได้ขอเข้าร่วมประเมินคุณภาพการศึกษากับ PISA ตั้งแต่การประเมินครั้งแรก หรือ PISA2000 และผลคะแนนเฉลี่ยการประเมิน PISA ของประเทศไทย ได้อยู่ในอันดับที่ต่ำมาก อยู่ท้ายๆ ของประเทศที่เข้าร่วมประเมินทุกครั้ง ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้
การประเมินของ PISA ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโรงเรียนและนักเรียนในอัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ 100 หรือ 1 แห่ง ในจำนวนโรงเรียนประมาณ 100 แห่ง
เมื่อไม่มีการกำหนดว่าโรงเรียนใดจะถูกประเมิน PISA โรงเรียนต่างๆ ของไทย จึงไม่ได้มีการเตรียมตัวนักเรียนให้มีความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบเก่าๆ ของ PISA ไว้ก่อน แต่เมื่อโรงเรียนรู้ตัวว่าจะถูกสุ่มประเมิน ก็เหลือเวลาเพียงประมาณ 2 เดือนเท่านั้น ก่อนการประเมิน นักเรียนจึงไม่คุ้นเคยกับแนวข้อสอบ PISA
สสวท. เป็นผู้ดำเนินการสุ่มโรงเรียนและนักเรียน แล้วดำเนินการประเมินโดยตรงกับแต่ละโรงเรียน โดยไม่ได้ติดต่อผ่านหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโรงเรียน เช่น เขตพื้นที่การศึกษา จึงทำให้ผลการประเมินของ PISA ไม่มีความสำคัญต่อการประเมินคุณภาพและผลการปฏิบัติงานของโรงเรียน โรงเรียนต่างๆ จึงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร
ผลคะแนนเฉลี่ยการประเมิน PISA ของประเทศไทย อยู่ในระดับต่ำมากของโลก ตลอดมา และได้มีรายงานวิเคราะห์สาเหตุทุกครั้ง ว่าเป็นเพราะว่านักเรียนไทย ไม่มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ จึงทำข้อสอบของ PISA ได้คะแนนไม่ดี
ประเทศไทยได้มีการใช้งบประมาณในการปรับปรุงหลักสูตรและการเรียนการสอนครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อจะให้คะแนนเฉลี่ย PISA สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่มีผลปรากฏให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ย PISA ของนักเรียนไทยดีขึ้นเลย
จากการติดตามวิเคราะห์ในเรื่องนี้ มีความเห็นว่า ถ้าให้ทุกโรงเรียนได้เตรียมตัวนักเรียนให้คุ้นเคยกับแนวข้อสอบเก่าๆ ของ PISA ล่วงหน้านานพอสมควร เมื่อโรงเรียนถูกสุ่ม นักเรียนก็มีความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบกันมาแล้ว ก็จะมีโอกาสสอบได้คะแนนดีขึ้นกว่าเมื่อไม่คุ้นเคยกับแนวข้อสอบมาก่อน
การดำเนินการดังกล่าวควบคู่ไปกับการปรับปรุงการเรียนการสอนในแนวทางการประเมินของ PISA ก็จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสได้คะแนน PISA ของนักเรียนไทยสูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก
ประสบการณ์จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์ของไทย ที่ได้มีการกำหนดให้ PISA ประเมินด้วยทุกครั้ง โรงเรียนวิทยาศาสตร์มีการฝึกฝนนักเรียนกันล่วงหน้า ให้มีความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบเก่าๆ ของ PISA ได้ทำให้กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ได้ผลคะแนนเฉลี่ย PISA สูงมาก อยู่ในระดับต้นๆ ของโลก ตลอดมาทุกครั้ง
ด้วยการรู้เรื่องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นตัวชี้วัดสมรรถนะที่สำคัญของประชากร สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงสมควรอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องกำหนดให้โรงเรียนทั้งหมด มีการฝึกฝนนักเรียนให้คุ้นเคยกับแนวข้อสอบเก่าๆ ของ PISA กันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้นักเรียนไทยมีความพร้อมสำหรับการประเมินของ PISA เมื่อโรงเรียนถูกสุ่ม
ผลดีสำหรับประเทศไทย คือ จะทำให้คะแนนเฉลี่ย PISA ของประเทศไทยสูงขึ้น และจะทำให้ทุกโรงเรียนของประเทศไทย มีการตื่นตัว ขวนขวาย ในการพัฒนาการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เมื่อผลคะแนนเฉลี่ย PISA สูงขึ้น จะทำให้นานาชาติเห็นว่า คุณภาพการศึกษาของไทยอยู่ในระดับเดียวกับนานาชาติ ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าสมรรถนะของประชากรไทย มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ ไปสู่ความเป็นประเทศไทยที่พัฒนาแล้ว ตามวิสัยทัศน์ของประเทศ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 54ได้กำหนด “ให้การจัดการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล” แต่ในความเป็นจริง ไม่มีหน่วยงานสากลใด ที่กำหนดตัวชี้วัดคุณภาพการศึกษาว่าได้มาตรฐานสากล
ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ...... มาตรา 73ได้กำหนด “ให้การจัดการศึกษาได้มาตรฐานทัดเทียมนานาอารยประเทศ” ก็เช่นเดียวกัน ที่ในความเป็นจริงไม่มีตัวชี้วัดมาตรฐานของนานาอารยประเทศ นอกจาก “ตัวชี้วัด PISA” ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งล้วนเป็นอารยประเทศ
ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ ต้องกำหนดให้ทุกโรงเรียนฝึกฝนให้นักเรียนคุ้นเคยกับแนวข้อสอบของ PISA เพื่อให้การจัดการศึกษาของไทยได้มาตรฐานทัดเทียมนานาอารยประเทศ
ส่วนที่ประเทศไทย จะมีตัวชี้วัดคุณภาพการศึกษาให้นักเรียนมีคุณลักษณะตามความต้องการเฉพาะของประเทศไทย ก็สามารถกำหนดเพิ่มเติมจากมาตรฐานของนานาอารยประเทศได้
การประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับชาติ ตามมาตรา 66 ของ ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.... จึงควรมี ทั้งตัวชี้วัดของนานาอารยประเทศ และตัวชี้วัดเฉพาะของประเทศไทย
โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี