นับตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ.2475 อาจจะกล่าวได้ว่า ประเทศไทยถูกมะเร็งการเมืองเกาะกินมาตลอดจนปัจจุบันเป็นเวลา 89 ปี
มะเร็งการเมือง โดยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา(Parliamentarian Democracy) ทำให้มีผลดังต่อไปนี้
ก.เกิดธุรกิจการเมือง มาตั้งแต่ต้น เกิดการซื้อเสียงจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน เกิดการซื้อเสียงจาก สส.เพื่อให้มาเข้าพรรค หรือลงคะแนนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เกิดการสร้างมุ้งการเมืองโดยการใช้เงินและผลประโยชน์ตอบแทนดึงสส.และผู้สนับสนุนเข้าพรรค และหาทางเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารไปพร้อมๆ กัน
ส่วน สส.ฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องพยายามล้มล้างรัฐบาลกันสุดฤทธิ์ ใช้ทั้งเล่ห์กลและวิชามาร การเดินขบวนและการปั้นข่าวเท็จทำลายเครดิตรัฐบาล
จึงเกิดการเมืองน้ำเน่า การเมืองจึงเป็นต้นตอของความไม่สงบในบ้านเมือง เป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชั่นที่จะหาประโยชน์โดยมิชอบจากงบประมาณของรัฐ เริ่มจากนักการเมืองผู้มาจากอำนาจนิติบัญญัติ ที่เข้ามาใช้อำนาจบริหารตามกระทรวง ทบวง กรม ลามไปถึงข้าราชการประจำตั้งแต่ระดับสูงจนไปถึงระดับนั่งหน้าเคาน์เตอร์ติดต่อกับประชาชน มีระบบเงินทอน ระบบหักเปอร์เซ็นต์ ระบบใส่ซองขาวแนบเรื่องที่ยื่นหน้าเคาน์เตอร์ และสารพัด รวมไปถึงต้นน้ำและกลางน้ำของกระบวนการยุติธรรม บางยุคบางสมัยการทุจริตอาจทำให้รัฐเสียหายครั้งละหลายแสนล้าน ซึ่งก็ยังเอาตัวผู้ทำผิดมาลงโทษไม่ได้
เมื่อมีธุรกิจการเมืองและการเมืองน้ำเน่า ทำให้ประเทศเสียหายมาก นักศึกษาบ้าง ประชาชนบ้าง ทหารและฝ่ายความมั่นคงบ้าง ก็ต้องออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหารเสียเลือดเนื้อของประชาชนและทรัพย์สินของรัฐไปก็มี หรือไม่ต้องเสียก็มี แต่การแก้ไขโดยวิธีนี้ ก็ทำให้ประเทศก้าวไปสู่
ข.การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยการปฏิวัติหรือรัฐประหาร หากมีการสู้รบกันของประชาชน ก็เสี่ยงภัยที่จะเกิดสงครามกลางเมือง (Civil War) โดยมหาอำนาจฝ่ายต่างๆ ก็พยายามหาทางเข้ามาแทรกแซง บ้านเมือง สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ก็จะต้องถูกทำลายลง
แต่หากมีการรัฐประหารที่ไม่เสียเลือดเนื้อ ก็จะเกิดการไม่ยอมรับจากเจ้าพ่อประชาธิปไตยแบบตะวันตกหรือจากกลุ่มประเทศซีกตะวันตก ที่คิดว่าประชาธิปไตยของตนเท่านั้นเป็นสิ่งถูกต้องและทุกประเทศจะต้องทำตาม
การสืบทอดอำนาจของผู้ทำรัฐประหาร คืออันดับต่อไปของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะคณะที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็จำต้องมีการสืบทอดอำนาจ เพื่อให้มีเวลาพอสมควรที่จะวางรูปแบบการบริหารประเทศให้เรียบร้อย พ้นจากการเมืองน้ำเน่าและเล่นการเมืองแบบธุรกิจตามอุดมการณ์ที่ตนและคณะได้ตั้งไว้
เมื่ออยู่ไปนานๆ ยังหาทางออกไม่ได้ นักรัฐประหารก็เลยต้องโดดเข้าเล่นการเมืองโดยการตั้งพรรคเสียเอง โดยการสร้างมุ้งการเมืองและเล่นการเมืองแบบน้ำเน่า รวมทั้งอาจสนับสนุนธุรกิจที่ผิดกฎหมายที่สามารถนำเงินมาเลี้ยงพรรคของตนได้ ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ผิดอะไรกับนักการเมืองแบบเก่า
แถมยังไม่ยอมปรับปรุงประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาของประเทศ
_________________________________
เมื่อปี พ.ศ.2475 ตอนที่คณะราษฎรปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป้าหมายใหญ่ก็คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย โดยมีความมุ่งหมายเพื่อประชาชนจะได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย (อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจตุลาการ, อำนาจบริหาร)
เมื่อแย่งอำนาจมาจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้แล้ว แต่ใจก็ยังเคารพนับถือองค์ บุรพกษัตริย์อยู่ ก็เลยไปคว้าเอาประชาธิปไตยของอังกฤษมาใช้ทั้งดุ้น เพราะอังกฤษยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ประชาชนยังสามารถเป็นเจ้าของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ และอำนาจบริหารได้ซึ่งเรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา” อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ก็คล้ายกับนำปลาทอดและเฟรนช์ฟรายส์ (Fish and Ship), เนื้ออบกับยอร์คเชอร์พุดดิ้ง (Roast Beef and Yorkshire Pudding) และสโคนกับชาอังกฤษ (Scone and English Tea) มาให้คนไทยรับประทานกัน
ทั้งๆ ที่คนไทย 90% ในขณะนั้น ยังนั่งล้อมวงเปิบข้าวด้วยมือกันอยู่และกินข้าวกับน้ำพริกปลาทูผักสด (ภาคกลาง) หรือแจ่วบองกับปลาย่างและผักสด (ภาคอีสาน) บ้างก็มีแกงโฮะ ลาบเลือด ผักจิ้ม (ภาคเหนือ)
และยังมีวัฒนธรรมรักพวกรักพ้อง ถ้ากินข้าวหม้อเดียวกัน วงเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันสุดฤทธิ์ไม่ว่าผิดหรือถูก ยิ่งตั้งวงก๊งเหล้ากันบ่อยๆ ก็ยิ่งรักใคร่กันมากๆ ยกพวกไปตีกับกลุ่มอื่นกันก็ได้
ตกลงทั้งอังกฤษ ทั้งไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ก็ใช้ประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาด้วยกัน
ใครอยากเป็นผู้ไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ ก็ไปสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ทำหน้าที่ออกกฎหมายของบ้านเมือง บังคับใช้กับผู้คนทุกหมู่เหล่า ให้อยู่ในระเบียบแบบแผนและความสงบเรียบร้อยอันดี
ใครอยากเป็นผู้ไปใช้อำนาจตุลาการ ก็ไปสมัครเรียน GCE (General Certificate of Education) แล้วไปเรียนเนติบัณฑิต (Barrister at Law) หรือของไทยพอจบ ธ.บ. หรือ น.บ. ก็มาต่อที่ เนติบัณฑิตยสภา สมัยก่อนอยู่ริมสนามหลวงใกล้ๆ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง แล้วก็ค่อยๆ ผ่านการอบรม การคัดเลือก การกลั่นกรอง จนกลายไปเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการแทนประชาชน
ส่วนการเข้าสู่อำนาจบริหาร (Executive Power) อังกฤษเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัย มีความเป็นสุภาพบุรุษแบบผู้ดีอังกฤษ มีน้ำใจนักกีฬา (Sporting Spirit) รู้แพ้ รู้ชนะรู้อภัย อันเป็นวัฒนธรรมของเขา เมื่อคนไทยนำการเข้าสู่อำนาจบริหารมาใช้ในเมืองไทยบ้าง ก็อดไม่ได้ที่จะใช้วัฒนธรรมเดิมอันค่อนข้างอ่อนแอ (Soft Culture) ดังที่ลี กวน ยู ท่านเคยวิพากษ์วิจารณ์ไว้ ยังไงต้องเอาพวกไว้ก่อน
ล้อมวงกินข้าวกินเหล้ามาด้วยกัน เงินก็รับเขามาแล้ว ก็ต้องโหวตให้เขาเป็น สส. ส่วน สส.เมื่อรับเงินจาก “เจ้าพ่อ”(God Father) มาแล้ว ก็ต้องสนับสนุนกันจนได้อยู่ในคณะรัฐมนตรี
ส่วนตัวรัฐมนตรีเองหรือหัวหน้าพรรค หัวหน้ากลุ่มก็มีความจำเป็นต้องหาเงินหาประโยชน์มาเลี้ยงดูลูกน้องในอาณัติของตนต่อไป จึงเป็นต้นกำเนิดของการคอร์รัปชั่นทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้
_____________________________________
เมื่อเทียบการใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาให้ดูระหว่างอังกฤษกับไทย แล้วจะเห็นได้ว่าประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ให้ สส.เป็นผู้ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีซึ่งได้ใช้กับวัฒนธรรมอังกฤษนั้น ใช้ไม่ได้กับวัฒนธรรมแบบไทยๆ
เราจึงจำต้องหาทางปรับปรุงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเสียใหม่ ให้เข้ากับวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของคนไทย
สี จิ้นผิง เป็นผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาก็ไม่จำต้องให้สส.มาเป็นผู้เลือกตั้งเขา และก็มิได้ให้ประชาชนมาเลือกเขาโดยตรง
แต่ผู้ที่เลือกเขาขึ้นเป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร (Chief of the Executive Power) และประมุขของประเทศ ได้แก่ สภาประชาชนจีน ซึ่งแต่ละคนผ่านการคัดกรอง ผ่านการตรวจสอบและทดสอบมาอย่างเข้มข้นจากการทำงานให้พรรคในส่วนภูมิภาค จนได้เข้ามานั่งอยู่ในสภาประชาชนจีน และเป็นผู้เลือก (Electoral Body) หัวหน้าของอำนาจบริหาร (Chief of the Executive Power) อยู่ในทุกวันนี้
ในประเทศไทย เรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุขของประเทศอยู่แล้ว
ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจนิติบัญญัติ องค์ประมุขของประเทศต้องมีพระบรมราชโองการให้เปิดประชุมสภา และเสด็จมาเปิดสภานิติบัญญัติ แต่สมาชิกก็เลือกหัวหน้าของฝ่ายนิติบัญญัติ (Chief of the Legislative Power) จากผู้ที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด จนมาอยู่ในตำแหน่งประธานรัฐสภา
ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจตุลาการ องค์ประมุขก็ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตุลาการศาลขั้นต้น จนถึงศาลฎีกา และตุลาการทุกคนก็ปฏิบัติหน้าที่ในพระนามขององค์ประมุขอยู่แล้ว แต่หัวหน้าของฝ่ายตุลาการ (Chief of the Judicial Power) ก็ได้มาจากการสรรหาและกลั่นกรองที่ต้องมีคุณสมบัติ (Qualification) และวิธีการในการสรรหา (Criteria) มากมาย จนอยู่ในตำแหน่งประธานศาลฎีกา และประธานคณะกรรมการตุลาการต่างๆ
ส่วนอำนาจบริหารเราก็มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศอยู่แล้ว หากได้มีการกำหนดคุณสมบัติ (Qualification) ของนักบริหารระดับสูง เพื่อให้มาเป็นผู้รับการคัดเลือกและเป็น ผู้เลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารของประเทศ (Chief of the ExecutivePower หรือนายกรัฐมนตรี) แทนที่จะให้ สส.ของฝ่ายนิติบัญญัติมาเป็นผู้เลือกเช่นเดิม ก็น่าจะได้คนดี มีคุณธรรมและความสามารถ (Integrity) เข้ามาบริหารประเทศกันเสียที โดยไม่ต้องใช้วิธีธุรกิจการเมืองเช่นเดิม
คนไทยควรต้องดัดแปลงประชาธิปไตยแบบต่างๆ ที่ตะวันตกมีอยู่ ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวเหนียวหมูปิ้งของเรา มากกว่าที่จะไปมูมมามทานฮอทด็อกหรือเฟรนช์ฟรายส์เอาดื้อๆ ซึ่งคงจะต้องทำให้ติดอยู่กับปัญหาธุรกิจการเมืองของระบบปัจจุบันและปัญหาการสืบทอดอำนาจของนักรัฐประหารอีกยาวนาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี