ตลอดระยะเวลาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ระลอกแรกตั้งแต่ต้นปี 2563 มาถึงระลอกที่ 2 เมื่อปลายปี 2563 มาระลอกที่ 3 เมื่อเดือนเมษายน 2564 และระลอกที่ 4 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประชาชนคนทำงานทุกอาชีพในประเทศไทย แรงงานจำนวนมากต้องสูญเสียงานประจำ ต้องไปทำงานใหม่ที่มีความมั่นคงน้อยกว่า เพื่อพยุงปากท้องต่อ
บางคนต้องตกงาน บางคนต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่มีคำประกาศปิดกิจการชั่วคราว โดยไม่ได้รับค่าชดเชย และอีกหลายคนจำต้องตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง แทนคำประกาศยอมแพ้ต่อวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้น
สำหรับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันพบว่า แรงงานมีการติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก บางบริษัทไม่มีมาตรการตรวจเชิงรุกหรือตรวจเจอเชื้อก็ไม่มีเตียงในการรักษา โดยเฉพาะกลุ่มคนงานเปราะบาง เช่น คนงานหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น รวมถึงการที่ไม่มีการดูแลเรื่องโรงพยาบาลสนาม ทำให้มีการแพร่กระจายโรคสู่ครอบครัวและชุมชน
ย้อนไปก่อนหน้านี้ ได้มีความพยายามของเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 พื้นที่สมุทรปราการ สระบุรี รังสิต และปทุมธานี ส่งตัวแทนมาที่กระทรวงแรงงานกว่า 20 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทวงแรงงาน เพื่อหาทางออกจากวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่เดินทางเข้ายื่นหนังสือดังกล่าว ยังได้แต่งกายด้วยชุดคลุมท้อง และชูป้ายข้อเรียกร้องบริเวณด้านหน้ากระทรวง จากนั้นได้เข้าหารือกับทางกระทรวงแรงงาน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมหารือด้วย
นายสุทัศน์ เอี่ยมแสง ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ระบุว่า จากการสำรวจสถานการณ์กลุ่มแรงงานที่ติดเชื้อโควิด-19 ย่านรังสิตและพื้นที่ใกล้เคียง พบว่า มีจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษาการเอกซเรย์ปอด การรับยา
บางบริษัทมีคำสั่งให้กักตัวที่บ้านแค่ 7 วัน แล้วกลับไปทำงาน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งมีคนงาน 4,000 คนตรวจคัดกรองเชิงรุก 1,000 คน ติดเชื้อ 200 คน คิดเป็นร้อยละ 20 บริษัทให้กักตัว และปิดเพียง 7 วันแล้วเปิดให้ทำงาน โดยเข้า-ออกประตูด้านหลัง ซึ่งไม่มีหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีตัวอย่างบริษัทที่ใส่ใจดูแลพนักงาน เช่น เมื่อทราบว่ามีผู้ติดเชื้อ 20 คน ก็ประกาศปิดทันที 14 วัน เพื่อทำความสะอาด และตรวจเชิงรุกทุกคน ก่อนที่จะเปิดทำการ หรือ ตรวจเชิงรุกทุกสัปดาห์ ถ้าติดเชื้อจะใช้หอพักในโรงงานเป็นสถานที่แยกกักตัว และเช่าหอพักข้างนอกให้กับคนงานที่ไม่ติดเชื้อ ที่สำคัญคือ ฉีดวัคซีนให้คนงานครบ 2 เข็มแล้วด้วย
“แรงงานต้องสังเวยอีกกี่ชีวิต เพราะนโยบายกระทรวงแรงงานที่ออกมายังไม่ตอบโจทย์ แรงงานจำนวนไม่น้อยยังหลุดจากระบบการดูแลรักษา หลายคนทนทุกข์เข้าไม่ถึงการรักษา ต้องตกงาน อดมื้อกินมื้อ ไร้ความมั่นคง กู้หนี้ยืมสินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่มีประกาศปิดกิจการชั่วคราว ไม่ได้รับค่าชดเชย บางบริษัทไม่มีมาตรการตรวจเชิงรุก หรือตรวจเจอเชื้อแต่ไม่แยกกักตัวรักษา” นายสุทัศน์ กล่าวทิ้งท้าย
ทางด้าน นางสาวอัณธิกา โคตะมะ รองเลขาธิการกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า คนงานกลุ่มเปราะบางที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ขณะนี้ติดโควิด-19 เสียชีวิตรายวัน เพราะถูกลอยแพ ปฏิเสธการทำคลอด ไร้การรักษา ไม่มีการตรวจคัดกรองเชิงรุก และแยกคนงานที่ป่วยออกจากโรงงานทันที เช่น หลายบริษัทยังให้ทำงานตามปกติ เสี่ยงติดเชื้อ เพราะใช้พื้นที่ปะปนกัน เสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากสรีระของหญิงตั้งครรภ์จะมีภาวะอึดอัดหายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
นางสาวอัณธิกา ได้ตัวอย่างกรณีหญิงท้อง 8 เดือน ติดเชื้อโควิด-19 ต้องไปเข้ารับการผ่าคลอดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดสูงถึง 150,000 บาท และขณะผ่าคลอดคนงานหญิงรายนี้ได้เสียชีวิตลง
นางสาวอัณธิกากล่าวอีกว่า จากวิกฤติที่เกิดขึ้นทางเครือข่ายฯ มีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน เพื่อนำไปพิจารณา ดังนี้ 1.สนับสนุนให้ทุกบริษัทตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับคนงาน เพื่อคัดกรองผู้ที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ 2.จัดหาสถานที่สำหรับคนงานที่ต้องแยกกักตัวรักษา ทั้งในส่วนพื้นที่ของบริษัทหรือการประสานชุมชนในการจัดหาสถานที่ เช่น โรงเรียน วัด เป็นต้น รวมถึงการมีโรงพยาบาลสนามที่มีมาตรฐาน มีบุคลากร แพทย์ พยาบาลในการดูแลผู้ติดเชื้อ ตลอดจนมีระบบการประสานส่งต่อคนงานที่มีอาการรุนแรง
3.ต้องมีมาตรการในการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มคนงานหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น โดยจัดสถานที่ทำงานให้เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์ให้มีความปลอดภัย และมีการ
ช่วยเหลือด้านสวัสดิการในการคลอดบุตรในกรณีที่ติดเชื้อ และคนงานหญิงที่ตั้งครรภ์ติดโควิดต้องไม่ถูกปฏิเสธการทำคลอดหรือการรักษาโควิด
4.เร่งจัดหาวัคซีน เพื่อคนงานอย่างเร่งด่วน และ 5.มีมาตรการเยียวยาชัดเจนตามสิทธิของลูกจ้าง และสิทธิในการเยียวยาเพิ่มเติมตามมาตรการภาครัฐ ทั้งกลุ่ม
เปราะบาง กลุ่มคนงานหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มครอบครัวคนงานที่เสียชีวิตจากโควิค-19
ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังหารือร่วมกับกลุ่มเครือข่ายแรงงาน ว่า สำหรับข้อเรียกร้องดังกล่าวนั้น ปัจจุบันกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการ ทั้งการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ การส่งเสริมให้สถานประกอบการดำเนินการตามโครงการ Factory Sandbox การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่ ผู้ประกันตน และการเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ส่วนมาตรการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มคนงานหญิงตั้งครรภ์ โดยกำหนดให้มีการจัดสถานที่ทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์ให้มีความปลอดภัย พร้อมให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งออกร่างประกาศกระทรวงโดยเร็วที่สุด และเร่งประชาสัมพันธ์ออกไป เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานประกอบการให้สตรีที่มีผลตรวจว่าตั้งครรภ์ ควรกำหนดให้มีการทำงานที่บ้าน (Work from Home) โดยให้จ่ายค่าแรงเต็มจำนวน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19
ล่าสุด จากความพยายามของพี่น้องแรงงาน มีความคืบหน้า เนื่องจากกระทรวงแรงงาน ออกประกาศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564 โดยรับปากจะช่วยเหลือแรงงาน รวมถึงให้นายจ้างดูแลสุขภาพลูกจ้างหญิงที่ตั้งครรภ์ ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยให้ทำงานที่บ้านหรือทำงานที่ลดการสัมผัสหรือพบปะคนจำนวนมาก หรือหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง และวันที่นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์หยุดงานไม่ถือเป็นวันหยุด หรือวันลา และให้นับอายุงานต่อเนื่อง
ถือเป็นการตอบรับเสียงสะท้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดอย่างหนักของไวรัสร้ายในขณะนี้ ซึ่งก็จะช่วยแก้ปัญหา และบรรเทาความเดือดร้อนไปได้ในระดับหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี