"...ถ้าอยากจะได้ความสงบ ได้ความสุขที่เกิดจากความสงบ ต้องสละ ถึงแม้เบื้องต้นจะสละชั่วคราวก็ต้องสละ เช่น เรายังปฏิบัติเต็มที่ไม่ได้ ยังไปบวชไม่ได้ แต่เราอย่างน้อยก็ไปปลีกวิเวกได้บ้าง ครั้งละ ๓ วัน ๕ วัน เราก็ไปเวลาไปก็ลืมเรื่องต่างๆ ที่เรามีอยู่ทั้งหมดไป อย่าไปคิดถึงมัน คิดเสียว่าตายจากมันไปชั่วคราว มันจะอยู่หรือมันไม่อยู่ก็เรื่องของมัน
ถ้าไปวิตกคอยไปกังวลอยู่ มันก็เหมือนไม่ได้ไป ไปแต่ร่างกายแต่ใจมันก็ยังอยู่กับทรัพย์สมบัติข้าวของ อยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยู่กับคนนั้นคนนี้อยู่ มันก็จะทำใจให้สงบไม่ได้ มันก็จะเจริญกัมมัฏฐานไม่ได้ จะให้มันพุทโธพุทโธมันก็ไม่ยอมพุทโธ มันก็ยังห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ห่วงเรื่องนั้นห่วงเรื่องนี้ ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้อยู่ ปฏิบัติไปก็ไม่ได้ผลเพราะไม่มีสติ เพราะไม่สามารถเจริญสติด้วยกัมมัฏฐานได้
นี่คือเรื่องของการปฏิบัติที่จะให้ได้ผล ต้องปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้า แบบพระสาวก ต้องปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ของภายนอกกายนอกใจนี้ ปล่อยไปให้หมด เอาแต่ร่างกายกับจิตใจไป แล้วก็ไปอยู่ที่มันไกลจากเรื่องราวต่างๆ มันจะได้ไม่ดูดเรากลับไปหา แล้วก็เวลาไปอยู่แล้วก็รู้จักหักห้ามใจ ที่ยังพยายามที่จะคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทิ้งมาอยู่ได้ ต้องใช้กัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พุทโธ พยายามท่องพุทโธพุทโธพุทโธไป เอาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเลย
ตื่นขึ้นมาก็พุทโธพุทโธไป ทำอะไรที่ไม่ต้องใช้ความคิดก็พุทโธไป อาบน้ำล้างหน้า แปรงฟัน แต่งเนื้อแต่งตัว รับประทานอาหาร ล้างถ้วยล้างชาม ทำความสะอาดกวาดถูอะไรต่างๆ พอเสร็จแล้วก็เดินจงกรม พุทโธพุทโธไป หรือไม่พุทโธก็คอยดูร่างกายไป ร่างกายกำลังเดินก็เดินไปกับร่างกาย ก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวาไป ทำอย่างนี้แล้วใจจะนิ่งใจ จะไม่คิดเรื่องราวต่างๆ ได้
แล้วพออยากจะให้ใจสงบก็ต้องมานั่งหลับตา นั่งขัดสมาธิได้ก็ดี เป็นท่าที่นั่งสบายนั่งได้นาน ถ้านั่งท่าอื่นเดี๋ยวมันอาจจะเอนได้ง่าย ล้มได้ง่าย มันไม่มั่นคงเหมือนกับท่านั่งขัดสมาธิ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็นั่งท่าไหนไปก่อนก็ได้ เพราะใหม่ๆ มันก็นั่งไม่ได้นานอยู่ดี เพราะสติมันมีกำลังน้อย นั่งได้แป๊บเดียว เดี๋ยวก็อดคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ พอคิดปุ๊บเดี๋ยวก็เกิดอาการอึดอัดขึ้นมา เกิดอาการปวดตรงนั้นเจ็บตรงนี้ขึ้นมา ก็จะทนนั่งต่อไปไม่ได้ ก็ต้องลุกไปทำนู่นทำนี่ก็ยังไม่ได้ผล
นี่แหละคือขั้นตอนของการปฏิบัติ สิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติก็คือสติ เหมือนกับกุญแจรถ คนที่ขับรถทุกคนรู้ว่ากุญแจอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีกุญแจรู้ว่าไปไหนไม่ได้แล้ว รถคันนั้นก็เป็นเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง จอดอยู่เฉยๆ ขับไปไหนมาไหนไม่ได้ แต่พอมีกุญแจปั๊บ เปิดประตูเข้าไปได้ปั๊บ สตาร์ทรถปั๊บ ทีนี้จะวิ่งไปไหนก็ได้ ไปเชียงใหม่ ไปภูเก็ต ไปที่ไหนก็ไปได้ กลายเป็นพรมวิเศษไป แต่พอไม่มีกุญแจปั๊บ กลายเป็นก้อนหินไป จอดนิ่งอยู่เฉยๆ ไปไหนไม่ได้
จิตก็เหมือนกัน จิตที่ไม่มีสติก็เป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน เป็นจิตที่วุ่นวาย จิตที่ไม่มีความสุข จิตที่มีแต่ความวิตกกังวล หวาดกลัว ห่วงใยกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ วิตกกังวลกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กินไม่ได้นอนไม่หลับกับเรื่องนั้นเรื่องนี้เพราะไม่มีสติ ไม่สามารถหยุดความคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้ เท่านั้นเอง เคล็ดลับของการทำจิตให้สงบให้มีความสุข คือต้องหยุดความคิดต่างๆ ให้ได้ จะหยุดความคิดได้ก็ต้องอาศัยกัมมัฏฐานที่จะเป็นตัวที่จะมาสร้างให้มีสติขึ้นมา ให้มีกำลังที่จะหยุดความคิดต่างๆ ให้ได้ ถ้าหยุดความคิดได้ก็จะหยุดความกังวล ความวิตก ความห่วงใย ความเครียด ความฟุ้งซ่าน ความไม่สบายใจต่างๆ ได้ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติควรให้ความสำคัญต่อการหาสติ..."
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี