จิตใจที่จะสามารถทำอะไร หรือสามารถบรรลุผลให้ประสบกับความสำเร็จ เป็นที่หนึ่งได้นั้น ต้องมีคุณธรรมอยู่ ๔ ประการด้วยกัน เรียกว่า อิทธิบาท ๔ ประกอบด้วย ๑. ฉันทะ คือ ความชอบใจ ความรัก ความพอใจในงาน ในสิ่งที่เราจะกระทำ ๒. วิริยะ คือความขยันหมั่นเพียร ความอุตสาหะพยามยาม กระทำงานของเราให้สมบูรณ์ ๓. จิตตะ แปลว่า ความจดจ่อ ใส่ใจ หรือความตั่งมั่นของจิตใจ คือการมีสมาธิในการทำงานนั้นๆ หรือทำสิ่งนั้นๆ ด้วยความจดจ่อ เอาใจใส่ และ ๔. วิมังสา คือ ความใคร่ครวญ การใช้เหตุผล ใช้สติ ใช้ปัญญา
ถ้ามีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร กิจอันใดก็ตาม จะเป็นทางโลกก็ดี เช่น การแข่งขันกีฬา หรือว่าการประกอบอาชีพ ทำมาหากิน ทำมาค้าขาย หรือการเรียนหนังสือ อยากจะเรียนให้จบ ก็ต้องอาศัยคุณธรรมเหล่านี้ หรือในทางธรรม จะประพฤติปฏิบัติตน เพื่อให้บรรลุถึง มรรค ผล นิพพาน ได้นั้น ก็ต้องอาศัยอิทธิบาท ๔ นี้ คือต้องมี "ฉันทะ" คือ มีความรัก ความชอบ ในสิ่งที่เราปรารถนา "วิริยะ" มีความขยันเหมั่นเพียร ที่จะทำหน้าที่การงานของเราให้บรรลุล่วงไปได้ "จิตตะ" มีความตั้งมั่น อยู่ในการงานของเรา ไม่ปล่อยให้จิตใจของเราลอยไปลอยมา คิดจะทำแต่เรื่องโน้น เรื่องนี้ งานหลักที่ควรลงมือทำกลับไม่ทำ ถ้าไม่ทำแล้ว ก็จะไม่สามารถบรรลุถึงผลที่ปรารถนาได้ และ "วิมังสา" คือ ความเฉลียวฉลาด รู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำอยู่นั้น ถูกหรือผิดอย่างไร ถ้ามีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมจะประสบความสำเร็จ
เพราะอิทธิ...แปลว่าความยิ่งใหญ่ บาท..แปลว่าทางเดิน "อิทธิบาท" จึงแปลว่าทางเดินที่จะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่นั่นเอง ถ้าเราปรารถนาจะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการงานก็ดี การศึกษาก็ดี หรือกิจการงานใดๆ ก็ตาม เราต้องใช้ อิทธิบาท ๔ สิ่งแรก เราต้องถามตัวเองเสียก่อนว่าเราชอบอะไร เรารักอะไร เพราะว่าการที่เราจะไปทำอะไร ถ้าทำในสิ่งที่เราไม่ชอบเราไม่รักแล้ว บางทีมันจะทำให้เราไม่มีความยินดี ไม่มีความพออกพอใจ มันก็จะทำให้เราไม่มีความขยันหมั่นเพียรที่จะประกอบภารกิจการงานนั้นๆ ดังนั้นให้เราถามตัวเองเสียก่อนว่าเราชอบอะไร บางคนชอบเล่นกีฬา บางคนอยากเป็นหมอ บางคนชอบเป็นพยาบาล บางคนชอบเป็นดารา นักร้อง นักแสดง หรือบางคนชอบเป็นนักเรียน อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องถามตัวเองดูเสียก่อน ให้เรามีความมั่นใจ ถ้าเรารู้แล้วว่าเราชอบอะไร เราจะมีความขยันหมั่นเพียร มันจะง่าย ถ้าเราไปเลือกทำในสิ่งที่เราไม่ชอบแล้วมันจะฝืนตัวเอง เมื่อฝืนตัวเองแล้วจะไปทำมันก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
บางครั้งพ่อแม่มีลูก อยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นทนายความ เป็นครู แต่บางทีลูกกลับไม่ชอบเป็นครู ไม่ชอบเป็นหมอ หรือไม่ชอบเป็นทนายความ พ่อแม่ก็ไม่ควรไปบังคับลูก เพราะว่าถ้าไปบังคับลูกแล้วลูกไม่สามารถจะทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบได้ เพราะไปฝืนใจเขา ทำไปแล้วก็ไม่เกิดผลดีอะไร ควรเปิดโอกาสให้ลูกเลือกทำในสิ่งที่เขาชอบ เพราะว่าสิ่งที่เขาชอบ ทำไปแล้วมันง่ายมันสนุก แล้วเขาจะมีความพากเพียร มีความขยัน มีความตั้งอกตั้งใจ และจะพยายามทำในสิ่งนั้นๆ จนประสบความสำเร็จขึ้นมาได้
ยกเว้นสิ่งที่เขาชอบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เช่น เขาชอบอาชีพการทำงาน เปิดบาร์ เปิดผับ เปิดโรงเหล้า โรงยา อย่างนี้เป็นต้น ถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่เหมาะสม เป็นอบายมุข ไม่ควรกระท เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องห้ามลูก ไม่ควรส่งเสริม เพราะทำไปแล้วจะมีแต่ความเสื่อมเสียตามมา มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่เรื่องราวต่างๆ อันนี้ พ่อแม่ต้องบอกเขาสอนเขา ให้เขาเปลี่ยนใจให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำอาชีพที่สุจริตเป็นสัมมาอาชีวะ พ่อแม่ควรส่งเสริมลูกให้ไปในทิศทางนี้ นี่คือเรื่องของ "ฉันทะ" ความชอบใจ ความพอใจ ถ้าคนเรานั้น ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบแล้ว เวลาจะทำอะไรก็ง่าย ความขยันหมั่นเพียรก็จะตามมา เป็นเหตุที่จะทำให้ประสบกับความสำเร็จในที่สุด
เหตุปัจจัยที่ ๒ ก็คือ "วิริยะ" ความขยันหมั่นเพียร ถ้าเราชอบอะไรแล้วไม่ต้องมีคนบอก ไม่ต้องมีคนใช้ ถึงเวลาเราก็จะทำเองเลย เพราะเราชอบ จิตใจจะอยู่กับสิ่งนั้นๆ การกระทำจะเป็นไปได้อย่างดี ผลต่างๆ ที่ปรารถนาก็จะตามมา เช่น ถ้าอยากจะได้ปริญญาตรี โท เอก ก็ต้องชอบเรียนหนังสือ ถ้าชอบแล้วก็จะขยันเรียนหนังสือขยันเข้าห้องเรียน ขยันฟังอาจารย์ ขยันดูหนังสือ ขยันทำการบ้าน อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราขยันแล้วผลที่ปรารถนาก็จะต้องตามมาอย่างแน่นอน เพราะว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น นั่นเอง ตรงข้ามกับคนที่มีแต่ความเกียจคร้าน ถึงแม้จะไปโรงเรียน ก็ไม่ชอบเรียน เวลาเรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ตั้งใจฟัง การบ้านก็ไม่ทำ หนังสือก็ไม่อ่าน อย่างนี้ยากที่จะเรียนจบได้ หรือเรียนได้ก็ไม่ดี เพราะขาดวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร นั่นเอง ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะทำธุรกิจการงานอะไรก็ตาม ทางโลกหรือทางธรรม เราต้องมีวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร
เหตุปัจจัยที่ ๓ คือ "จิตตะ" แปลว่าความใส่ใจ ความจดจ่อ ทำใจให้อยู่กับหน้าที่การงาน ไม่เถลไถลนั่นเอง ทำแต่หน้าที่ของเราอย่างเดียว เวลาทำงาน ก็ต้องทำอย่างเต็มที่ไม่เถลไถลไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง นั่งกินกาแฟบ้าง คุยกับคนโน้น คุยกับคนนี้ ผลงานก็ไม่มี ต่อไปบริษัทก็เจ๊ง ก็ต้องตกงาน ต้องออกจากงาน ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทก็ต้องลำบาก ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีจิตตะความใส่ใจ มีความจดจ่อ มีสมาธิความแน่วแน่กับการทำงาน จะไม่เกียจคร้าน ไม่หนีเที่ยว ไม่เถลไถลไปไหน ผลงานก็จะเกิดขึ้น มีรายได้มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบกับความสำเร็จในชีวิต
เหตุปัจจัยที่ ๔ คือ "วิมังสา" การใคร่ครวญ การใช้สติปัญญา รู้จักคิด รู้จักอ่าน ว่าสิ่งที่ทำไปนั้น ถูกหรือผิดอย่างไร ถ้าสิ่งที่ทำไปได้ผลดี ก็ควรจะทำให้มากขึ้น ถ้าสิ่งไหนผิดก็ควรจะแก้ไข อย่างเช่นการค้าขาย บางทีอาจจะขายไม่ได้ ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมของถึงขายไม่ออก เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะของไม่ดีไม่มีคุณภาพหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรพัฒนาคุณภาพ พัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น หรือถ้าสินค้าดีมีคุณภาพ แต่ไม่มีใครซื้อ ก็ต้องเปลี่ยนสินค้าใหม่ เรียกว่าใช้วิมังสา ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้ความฉลาดนั่นเอง คือ ต้องรู้จักคิด ไม่ใช่ทำแบบ หลับหูหลับตา ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ไม่ใช้สติไม่ใช้ปัญญา ผลที่จะเกิดตามมาจะไม่ดีอย่างที่อยากจะให้เป็น แต่ถ้าใช้สติปัญญา รู้จักเลือก รู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ มันก็จะนำไปสู่ผล คือความสำเร็จนั่นเอง
ถ้าพวกเราทุกคนปรารถนาที่จะประสบกับความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในหน้าที่การงาน การเรียน การกีฬา การกระทำอะไรต่างๆ ขอให้ใช้คุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คือ ๑. ต้องมีความรักความชอบใจในสิ่งที่ทำ ๒. ต้องมีความขยัน ๓. ต้องมีความจดจ่อ มีความใส่ใจ จิตใจต้องมีสมาธิ ไม่เถลไถลไปทำอย่างอื่น และ ๔. ต้องมีความฉลาด ถ้าไม่รู้ ก็ต้องไปศึกษาจากผู้รู้ หรือหาหนังสือมาอ่าน หรือจ้างผู้ที่มีความรู้ มาเป็นที่ปรึกษา อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราก็จะมีความรู้ มีสติปัญญา สามารถที่จะดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่เราปรารถนาได้ ไปสู่ความสำเร็จ ไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้
ขอฝากคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ให้กับญาติโยมนำไปพินิจพิจารณา ถ้าปรารถนาความสำเร็จในชีวิต ก็ขอให้มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หรือ อิทธิบาท ๔ แล้วความสำเร็จจะเป็นของทุกท่านอย่างแน่นอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี