เมื่อเร็วๆ นี้ แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) จัดการบรรยาย (ออนไลน์) เรื่อง “สร้างวินัยทางถนนเด็กไทยให้เต็มร้อย” โดยผู้บรรยายคือ ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์อุดาการ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เล่าว่า ย้อนกลับไปในปี 2554 เริ่มทำงานปลูกฝังวินัยจราจรกับเด็กระดับปฐมวัย เนื่องจากในทางการศึกษานั้นเชื่อว่า “ปฐมวัยเปรียบดั่งรากแก้ว” ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับในช่วงปฐมวัยจะส่งผลต่อความมั่นคงของชีวิตคนคนนั้น การปลูกฝังสิ่งที่ดีงามจึงควรเริ่มต้นในวัยนี้
โดยช่วงแรกๆ ที่ทำงานด้านความปลอดภัยบนท้องถนนยอมรับว่าไม่ได้มองเป็นเรื่องพิเศษอะไร กระทั่งได้ฟังเรื่องราวจากแพทย์ทั้งการสูญเสียชีวิตของคนไทยจำนวนมากทั้งที่หากไม่สูญเสียคนเหล่านี้ก็จะเป็นกำลังสำคัญของชาติ หรือการที่แพทย์ต้องทำงานหนักติดต่อกันนับสิบชั่วโมงเพื่อช่วยชีวิตผู้ประสบอุบัติเหตุ เมื่อประกอบกับการที่ตนเองเป็นทั้งแม่ ย่าและครูบาอาจารย์ เรื่องนี้จึงสะเทือนใจมาก
“จุดเริ่มต้นคือลงไปเป็นที่ปรึกษาหลักให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ ต.ป่าสัก จ.ลำพูน ตอนนั้นมูลนิธิวิจัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่นได้มาขอให้ไปเป็นที่ปรึกษาโครงการ ตอนนั้นเป็นโครงการวิจัยสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนโดยการมีส่วนร่วมของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและชุมชน ทีนี้ที่เข้าไปก็คือไปช่วยคุณครูในศูนย์พัฒนาเด็ก ในการที่จะให้เขามีความเข้าใจในการจัดทำหลักสูตร ในการทำแผนงานจากประสบการณ์ การออกแบบกิจกรรมในการที่จะไปพัฒนาเด็ก” ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ กล่าว
ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า เด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจะมีอายุตั้งแต่ 2-6 ปี ซึ่งในตอนแรกของโครงการ ยอมรับว่าครูในศูนย์เด็กเล็กค่อนข้างกังวลเพราะกลัวจะทำนอกเหนือจากที่หลักสูตรกำหนด จึงต้องสร้างความเข้าใจว่าการปลูกฝังวินัยจราจรมีอยู่ในแผนการสอนในหลักสูตรเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่โครงการนี้มาทำให้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งไม่ได้ทำเพียงคนเดียวแต่ต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ปกครองนักเรียนตลอดจนชุมชนโดยรอบ
วันเวลาผ่านไป เริ่มเห็นพฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยน เช่น เด็กเริ่มได้สวมหมวกกันน็อกเมื่อโดยสารรถจักรยานยนต์มากขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่สนับสนุนหมวกกันน็อกเด็ก และเมื่อเด็กสวมหมวกกันน็อกตามที่ครูสอนและทำเป็นแบบอย่าง พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ เมื่อจะขี่จักรยานยนต์ก็ต้องสวมหมวกกันน็อกตามไปด้วยโดยปริยาย “ใช้เด็กเป็นเครื่องมือเตือนสติผู้ใหญ่” ให้ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญของความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะคนอื่นเตือนแล้วไม่ฟัง มีข้ออ้างสารพัด แต่หากเป็นบุตรหลานเตือนกลับพบว่ายอมฟัง
“เวลาเราลงไปตรวจเยี่ยมในแต่ศูนย์เขามีเทคนิคในการสร้างวินัยให้กับเด็กที่แตกต่างกัน อันนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นในเฟส (Phase-ระยะ) แรกๆ ความประทับใจคือความมุ่งมั่นตั้งใจของคุณครู เพราะว่าเฟสแรกที่ทำที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ ต.ป่าสัก จ.ลำพูน มีแรงกดดันมากๆ เลยคุณต้องต่อสู้ทุกอย่าง ถ้าคุณครูเขาถอดใจไม่สู้ต่องานก็ไม่สามารถที่จะก้าวมาจนกระทั่งเป็นตัวแบบได้ คือพลังความสำเร็จที่ป่าสักมันมีพลังทื่ทำให้ถึงกับเป็นนโยบายของระดับจังหวัด จังหวัดลำพูนถึงระดับผู้ว่าฯ ขณะนั้นหยิบขึ้นมาเป็นนโยบายเลย
จากการทำงานในระดับจุดเล็กๆ ของป่าสัก เพราะว่ามีครูไม่เยอะ ไม่กี่คนเลยแล้วเขาต้องใช้เวลาในวันเสาร์-อาทิตย์ ใช้เวลานอกจากเวลาที่เขาดูแลเด็กมานั่งประชุมกันเพื่อที่จะออกแบบการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วเรื่องเหล่านั้ใหม่สำหรับเขา ตัวเราเองก็ยังใหม่ ฉะนั้นเวลาเราจะต้องมานั่งวางว่าจุดมุ่งหมายจริงๆของโครงการวิจัยตอนนั้นคือต้องการอะไร แล้วจะต้องไม่เป็นการที่ไปเพิ่มงานให้กับคุณครู และต้องย่อยให้ง่ายสำหรับเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ ระบุ
ความท้าทายในการจัดทำหลักสูตรปลูกฝังวินัยจราจรกับเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กคือ “ชั้นเรียนแบบคละอายุ” ดังนั้น จะจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เด็กทุกอายุมีส่วนร่วม ซึ่งต้องพัฒนาสื่อหลากหลายแม้จะมีงบประมาณจำกัด เช่น นำสิ่งของเหลือใช้มาดัดแปลง เนื่องจากสมัยนั้นสื่อดิจิทัลยังมีไม่มากนัก ต่อมาโครงการได้เข้าสู่ระยะที่ 2 กระจายไปในศูนย์เด็กเล็กหลายแห่งทั้ง 4 ภาค แต่ทำงานง่ายขึ้นเพราะมีบทเรียนจากโครงการระยะแรกแล้ว อีกทั้งยังมีครูจากโครงการระยะแรกมาเป็นพี่เลี้ยง
ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ กล่าวว่า “โครงการนี้นอกจากเป็นการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้แล้ว ยังสร้างนวัตกรรมด้านการผลิตสื่อด้วย” เพราะแต่ละภูมิภาคพัฒนาสื่อตามบริบทของตนเอง เช่น จ.สุพรรณบุรี(ภาคกลาง) จุดเด่นคือมีเครือข่ายเข้มแข็ง อีกทั้งยังมีงบประมาณสร้างสนามจำลองให้เด็กได้ฝึกวินัยจราจร หรือที่ อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี(ภาคใต้) มีจุดแข็งด้านการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านอาทิ เพลงบอก หนังตะลุง โนราห์ มาประยุกต์ซึ่งไม่เพียงปลูกฝังเฉพาะเด็กแต่ยังรวมถึงสร้างความตระหนักให้กับคนในชุมชนด้วย
ทั้งนี้ “ความภูมิใจคือการที่กิจกรรมที่ริเริ่มจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไม่กี่แห่งกลายเป็นสิ่งที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ยอมรับเป็นนโยบายและกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดผลงานของครู” ซึ่งเมื่อกลายเป็นตัวชี้วัดแล้วครูก็จะทำงานง่ายขึ้นด้วยเพราะเป็นหน้าที่และผลงานของครูเองไม่ใช่การเพิ่มภาระงาน และเป้าหมายต่อไปคือ “ขยายผลสู่โรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ประถมถึงมัธยมศึกษา” เพื่อให้ช่วยกันพัฒนาต่อยอด ดังตัวอย่างของโรงเรียนบ้านหนองเงือก จ.ลำพูนที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเมื่อได้ฟังแนวคิดแล้วก็สนับสนุนส่วนครูก็เข้าใจ
“ครูเป็นคนเล่าให้ฟังเอง แต่เดิมจะขับมอเตอร์ไซค์มา แล้วเวลาจะเข้าก็จะเข้ามาในประตูที่ใกล้ห้องพักตัวเองมากที่สุดโดยไม่สนใจเลยว่าที่เขียนว่าทางเข้า-ทางออกเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้คุณครูไม่กล้าเพราะมีสารวัตรนักเรียน มีลูกเสือคอยมองอยู่ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง หรือครูขับมาจากบ้านไม่สวมหมวกกันน็อก จราจรลูกเสือก็จะเห็นอยู่คุณครูก็อาย ก็ต้องสวมหมวกกันน็อกมาคือทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมด” ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ ยกตัวอย่าง
ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ กล่าวในช่วงท้ายถึงอีกความภูมิใจในฐานะคนเป็นครูบาอาจารย์ว่า กิจกรรมนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งครูและนักเรียนกลายเป็นผู้ใส่ใจความปลอดภัยบนท้องถนนมากขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน อีกทั้งผลงานนี้แต่เดิมคณะครูที่ทำโครงการก็ไม่ได้หวังรางวัลอะไร ถึงขนาดต้องแนะนำให้ลองส่งประกวดนวัตกรรมด้านการศึกษาดู ซึ่งก็ได้รับรางวัลจริงๆ
“มันไม่ได้เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่คงจะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันในการที่จะทำบทบาทเหล่านี้ เพื่อที่จะทำให้เด็กๆ ของเรา
ได้มีโอกาสเติบโตขึ้นอย่างงดงาม และเป็นเด็กที่มีวินัยทางจราจรให้เต็มร้อย เพื่อที่จะลดความสูญเสีย” ผศ.ดร.เยี่ยมลักษณ์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี