อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย ด้วยยอดผู้เสียชีวิตหลักหมื่นรายต่อปี ถึงขนาดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ความอันตรายของถนนเมืองไทยอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก (อันดับ 2 ในปี 2558 และอันดับ 9 ในปี 2561) ซึ่งที่ผ่านมาภาคส่วนต่างๆในประเทศไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) จัดการแถลงข่าว “เปิด 11 ผลงานสู่แผนความปลอดภัยทางถนนของชาติ” นำเสนอตัวอย่างการแก้ปัญหาตามบริบทของแต่ละพื้นที่
วีรเทพ สุดแดน ตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายโครงการพิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร กล่าวว่า ปัจจุบันเยาวชนเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องทำอย่างไรให้เยาวชนปลอดภัยบนท้องถนน จึงได้เกิดมาตรการ “จับ ปรับ ลด” ขึ้นมา โดยแบ่งเป็น 1.จับเพื่อที่ไม่ให้ทำผิดซ้ำ 2.ปรับทัศนคติใหม่ และ 3.ลดชั่วโมงกิจกรรม โดยการนำเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของมหาวิทยาลัย ซึ่งเน้นเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย
“ถึงแม้จะไม่ได้แก้ปัญหาอุบัติเหตุแต่สามารถลดการเสียชีวิตได้ เนื่องจากเกิดการบาดเจ็บบนศีรษะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย โดยดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา จากนักศึกษาสวมหมวกนิรภัยไม่ถึงร้อยละ 5 แต่ปัจจุบันสามารถทำให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยสวมหมวกนิรภัยได้มากถึงร้อย 95 จากการดำเนินการที่ผ่านมาจึงอยากให้กำหนดเป็นมาตรการของสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ เพื่อที่จะให้นิสิต นักศึกษา จะต้องมีการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยและถูกต้อง เพื่อให้รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง” วีรเทพ กล่าว
สุภาภรณ์ ทัศนพงศ์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ สำนักงานสาธารณสุข จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า
ในจังหวัดร้อยเอ็ดได้มีการจัดตั้ง “กองร้อยอาสาจราจร” หรือ “กองร้อยน้ำหวานภาคประชาชน” ซึ่งมีแนวคิดมาจากแผนพัฒนาจากองค์การอนามัยโลก และสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มีเป้าหมายลดการเกิดอุบัติเหตุลง ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีระเบียบว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนท้องถิ่น ให้เข้ามามีส่วนร่วมกิจการของตำรวจตั้งแต่ปี พ.ศ.2551
“มีสตรีในชุมชนที่มีบทบาทในการพัฒนา เนื่องจากมีความเข้มแข็ง อดทน มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ และมีความเมตตา ซึ่งงานหลักของกองร้อยน้ำหวาน คือ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจจราจร ในการจัดการจราจรในบริเวณที่พลุกพล่าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ซึ่งเวลามีการตั้งด่านจราจรจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการทำงานที่ผ่านมาพบว่ากองร้อยน้ำหวานเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับตำรวจได้เป็นอย่างดี” สุภาภรณ์ กล่าว
โกมล ชูแดน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า โครงการ “พลังท้องถิ่นร่วมใจแก้ไขจุดตัดรถไฟ” เกิดขึ้น เนื่องจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้ประสบอุบัติเหตุจากรถไฟชนทั่วประเทศถึง 77 ครั้ง โดยบาดเจ็บ 41 ราย และเสียชีวิต 28 ราย ในส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีจุดตัดรถไฟ 162 จุด มีจุดตัดที่ได้รับอนุญาต 39 จุด และที่ไม่ได้อนุญาตมากถึง 127 จุด ซึ่งในปี 2562-2563 ในจังหวัดได้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 8 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย และมีผู้เสียชีวิต 7 ราย จึงได้จัดทำป้อมยามเฝ้าระวัง ขยายช่องทางรถไฟ และติดตั้งไฟส่องสว่าง จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าไม่เกิดความสูญเสียขึ้นอีกเลย
พนิดา ผลทอง หัวหน้าสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าซัก จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า โครงการ
“1 สพฐ. ท้องถิ่น 1 ตำบลปลอดภัย” หรือ“ท่าซักโมเดล” ซึ่งเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานบนท้องถนน เนื่องจากพื้นที่ในตำบลตั้งแต่ปี 2561 เป็นพื้นที่สีแดงเพราะมีประชาชนต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนค่อนข้างมาก จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ตำบลท่าซักร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุให้สำเร็จ โดยร่วมกันออกแบบชุมชนปลอดภัยออกเป็น 5 ด่านเข้มแข็งในการดำเนินงาน ได้แก่
1.ด่านครอบครัว ซึ่งแยกบุคคลกลุ่มเสี่ยงออก แล้วให้ความรู้ตรงประเด็นให้กับกลุ่มบุคคลที่ได้คัดแยก 2.ด่านโรงเรียน ได้มีการบรรจุหลักสูตรวิชาจราจรทางบกในโรงเรียน 4 แห่งในพื้นที่ตำบลท่าซัก เพื่อปลูกฝังวินัยจราจรให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ 3.ด่านชุมชน มีการจัดตั้งด่าน 2 วงรอบคือ วงรอบชั้นในและวงรอบชั้นนอก นอกจากนี้ยังมีบริการเปลี่ยนไฟหน้าและไฟท้ายรถจักรยานยนต์ฟรี
4.ด่านพี่เลี้ยง โดยมีทีมพี่เลี้ยงจากจังหวัดและอำเภอ เป็นผู้สนับสนุนความรู้ด้านวิชาการและข้อมูลงานในการแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง และ 5.ด่านตำรวจ ซึ่งสนับสนุนบุคลากร เครื่องมือ และดำเนินการร่วมกับท่าซักโมเดล จากผลดำเนินการที่ผ่านมาสามารถลดอุบัติเหตุได้เกือบ 100% ซึ่งมีการขยายผลไปในพื้นที่ใกล้เคียง และขยายผลไปจังหวัดใกล้เคียงด้วย
พวงทอง ว่องไว ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาความร่วมมือ การเลือกใช้รถโดยสารสาธารณะในการทัศนศึกษาจ.พะเยา กล่าวว่า ปัจจุบันการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ เป็นปัจจัยหนึ่งของการเดินทางของประชาชน ซึ่งช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการเกิดอุบัติเหตุในรถโดยสารสาธารณะใน 1 ปี เกิดอุบัติเหตุไม่ต่ำกว่า 150 คันต่อปี โดยการเกิดเหตุในแต่ละครั้งสร้างความสูญเสียเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการโดยสารในแต่ละครั้งจะไม่ต่ำกว่า 40 คนต่อการเดินทาง 1 ครั้ง
ประกอบกับประเทศไทยในเฉพาะภาคเหนือมีปัญหาเรื่องจุดเสี่ยงมากถึง 103 จุด ซึ่งในต่างประเทศจะมีมาตรการจำกัดความเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย และตรวจสภาพรถเป็นประจำ แต่ในไทยสาเหตุในการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากสภาพรถไม่พร้อมใช้งานคนขับไม่ชำนาญทาง ซึ่งจังหวัดพะเยาเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงเกิดเครื่องมือ “สัญญาเช่ารถโดยสาร” ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการคัดเลือกรถ
โดยหัวใจสำคัญคือ หากเลือกรถที่มีคุณภาพและมาตรฐาน การเดินทางไปและกลับจะปลอดภัย นอกจากการเลือกรถ
จากสภาพภายนอกแล้ว การพิจารณาเรื่องเงื่อนไขการชดเชยเยียวยาหากเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้นการใช้สัญญาจ้างขนส่งผู้โดยสารเป็นเครื่องมือ ผู้ว่าจ้างก็จะสามารถเลือกรถที่มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน
พิจารณาตั้งแต่ ผู้ประกอบการว่าเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ประสบการณ์ของพนักงานขับรถ สภาพรถที่มีการตรวจรับรองจากหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก รวมถึงความพร้อมของอุปกรณ์ป้องกันภัยภายในรถ เช่น ค้อนทุบกระจก เข็มขัดนิรภัย ประตูฉุกเฉิน และการตรวจสอบเงื่อนไขการประกันภัย และการชดเชยเยียวยาหากผู้ประกอบการผิดข้อตกลง
ในสัญญา โดยตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า หน่วยงานท้องถิ่นแต่ละแห่งได้ให้ความสำคัญกับการใช้สัญญาเช่ารถในการทำสัญญาทุกครั้ง
“สิ่งสำคัญพบว่า หลังจากใช้สัญญาเช่ารถ ที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดประสบอุบัติเหตุจากการเดินทาง ทั้งนี้ท้องถิ่นจังหวัดพะเยาได้ร่วมกันนำเสนอประสบการณ์จากการใช้สัญญาเช่ารถโดยสาร และได้ร่วมกันวางแผนเพื่อพัฒนามาตรฐานสัญญาเช่ารถโดยสารสาธารณะให้เป็นต้นแบบของท้องถิ่น และผลักดันให้เป็นเกิดเป็นมาตรฐานสัญญาเช่ารถโดยสารสาธารณะต่อไป” พวงทอง กล่าว
ประทวน ศรีสุข ประธานฝ่ายกิจกรรม ชมรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน จ.ลำพูน กล่าวว่า นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือจังหวัดลำพูน มีผู้ใช้แรงงานใช้รถจักรยานยนต์สำหรับเดินทางมาทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการใช้รถใช้ถนนที่ผ่านมาพบว่า เกิดอุบัติเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงได้เกิดแนวคิดโครงการ “ผู้ใช้แรงงานร่วมใจสถานประกอบการปลอดภัยลดอุบัติภัยบนท้องถนนสู่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือลำพูน” ขึ้นมา เพื่อสร้างกระแสวัฒนธรรมความปลอดภัยให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม
ในการร่วมกันดำเนินกิจกรรมรณรงค์แก้ไขอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยตัวแทน จป.วิชาชีพ ของแต่ละสถานประกอบการจะเป็นภาคีเครือข่ายเฝ้าระวังอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ และเป็นแกนนำของสถานประกอบการในการช่วยรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุทางถนนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งจะได้สำรวจจุดเสี่ยงจุดอันตราย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการแก้ไข จากการดำเนินงานพบว่าผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ที่สถานประกอบการเข้าร่วมโครงการสวมหมวกนิรภัย เดินทางมาทำงานมากถึงร้อยละ 90 และจำนวนสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์มาปฏิบัติงานยังสถานประกอบการลดลงมากถึงร้อยละ 80
ยังมีอีกหลายโครงการที่น่าสนใจซึ่งสามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ“สอจร: แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด” หรือที่https://www.facebook.com/Rswgsthai/videos/594203265132689
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี