นี่คือพระมหาเถระผู้มีภาพลักษณ์ตรึงตา เป็นสมณะห่มกาสาวพัสตร์ถือขวานถากไม้ เป็นปริศนาธรรม ท่านผู้นี้พูดจาเสียงดังฟังชัด ออกกริยาท่าทางคล้ายไม่สำรวม นัยน์ตามีแววมุ่งมั่นทุกคนเรียกกันติดปากว่า"หลวงปู่เจี๊ยะ" อริยเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรในกุฏิเพิงหญ้าหลังเล็กๆ มีจีวรเก่ากั้นเป็นฉากหลัง...
ผู้ใดพบเห็น นั่นคือ สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะผู้สงบสันโดษ ย่อมเป็นมงคลอย่างสูงสุด
ณ ที่อันเป็นสัปปายะทุกแห่งหนเสียงเทศนาธรรมของท่านกล่อมเกลาจิตใจสานุศิษย์...วันแล้ว...วันเล่า มิได้ขาด จนแม้วันนี้ก็ยังมีแถบเสียงเทศนาเก็บไว้หลายแหล่งแห่งหนเป็นธรรมนุสรณ์ ซึ่งในวันเก่ามิใคร่มีใครเข้ามามากนัก
ในกาลต่อมา ตำนานชีวิตท่านเริ่มมีผู้เล่าขาน เมื่อหลวงตามหาบัวได้ยกคำของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่กล่าวชมยกย่องสรรเสริญว่า"เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง" ให้เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ที่หาได้โดยยากยิ่ง
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท หรือ พระครูสุทธิธรรมรังษี วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี พระผู้อาจหาญเด็ดเดี่ยวในสายกรรมฐานของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้รับการยกย่องจากท่านพระอาจารย์มั่น ว่า"เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง" เนื่องจากอุปนิสัยของท่านเป็นคนตรงไปตรงมา มีปฏิปทายอมหักไม่ยอมงอ ท่านสละอวัยวะ ทรัพย์และชีวิตเพื่อธรรม เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที จงรักภักดีต่อท่านพระอาจารย์มั่น ยิ่งกว่าชีวิต
ประวัติ ปฏิปทา คติธรรมของท่านอาจแตกต่างจากพระกรรมฐานรูปอื่นในแง่ปลีกย่อย ท่านไม่กว้างขวางเรื่องปริยัติธรรมภายนอก รอบรู้เฉพาะเรื่องจิตภาวนา อันเป็นธรรมภายใน ท่านปฏิบัติลำบากแต่รู้เร็ว คำสอนของท่านก็เป็นปัจเจก มุ่งเน้นทางด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่
ประกอบกับท่านมีบารมีธรรม ที่บ่มบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน เป็นสิ่งช่วยเกื้อหนุนอยู่อย่างลึกลับ การปฏิบัติของท่านจึงนับว่ารู้ธรรมเร็ว ในยุคปัจจุบันเพราะบุญเพรงแต่ปางหลังแท้ๆ
ท่านเป็นแบบอย่างทางสงบแก่โลกที่ปนเปื้อนไปด้วยกองทุกข์นานัปการท่านสอนให้พวกเรามองอะไร ไม่ควรมองแต่ด้านเดียว การมองอะไร อย่าใช้แต่สายตาเป็นเครื่องวัดตัดสินเท่านั้น แต่ต้องใช้แววตาคือ ปัญญาวิเคราะห์ด้วยเพราะผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรมองข้ามปมคำสอน เพียงเพราะสายตาเท่านั้น ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างแก่โลก ย่อมไม่ละเลยทั้งกอไผ่และภูผา
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเป็นผู้มีจิตอิสระไม่เกาะยึดติดตัวพันในบุคคล กาล สถานที่ การปฏิบัติของท่านมุ่งเน้นที่ผลการปฏิบัติ มากกว่ารูปแบบแห่งการปฏิบัติเป็นนิสัยสะท้านโลกา และปฏิปทาที่เป็นปัจเจก ยากที่ใครๆจะเลียนแบบได้
*ปานดำบนแผ่นหลัง
หลวงปู่เจี๊ยะ นามเดิมจริงๆชื่อว่า โอวเจียะ "โอว" แปลว่าดำ ส่วน "เจียะ" แปลว่า หิน จึงรวมคำแปลว่าหินดำ เพราะท่านมีปานดำที่แผ่นหลัง ท่านเมตตาเล่าเรื่องชื่อของท่าน(ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)
"เขาเรียกกันว่า 'โอวเจี๊ยะ' แปลว่าหินดำ เพราะมีปานดำที่แผ่นหลัง แต่มาภายหลังเรียกสั้นๆว่า เจี๊ยบ ปานดำที่แผ่นหลังนี่ มันดีนักหนา คนสงขลาเห็นเข้าตอนที่ไปธุดงค์ทางภาคใต้ เขาถึงกับพูดว่า โอ๊ย...!ท่านอาจารย์มีของดีโว้ย มันดีอะไร เราถาม ก็ที่แผ่นหลังท่านอาจารย์ไง ปานดำเต็มแผ่นหลังมันหายากนะ พอพูดเสร็จเขาก็ขอดูด้วยความชอบอกชอบใจ
ปริศนาปานดำกลางแผ่นหลังนี้ก็ปรากฏอยู่ในประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีมาก่อนเช่นกันว่า เมื่อแรกกำเนิดนั้นสมเด็จฯ ท่านก็มีปานดำสัณฐานกลมอยู่กลางหลัง... โบราณถือกันว่าเป็นผู้มีบารมี รวมทั้งสองของท่านต้องนำไปยกให้เป็นลูกพระเถระแก้เคล็ดมาแล้วเช่นกัน
จริงๆแล้ว คำว่า "โอวเจี้ยะ" มีความหมายในทางธรรมอย่างหนึ่ง หลวงปู่เจี๊ยะ กล่าวว่า คนที่มีปานประเภทนี้จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งดุจศิลาแลง ทนร้อน ทนหนาว ทนทุกข์ ที่สุด ทนอดทนได้ รับได้ แก้ไขได้ทุกสภาวการณ์ เหมือนจะเป็นธรรมะเตือนเราว่าจงทำจิตใจให้เข้มแข็งดุจแผ่นหิน ใครจะนำเอาของสกปรกมาเทใส่แผ่นหินก็คงนิ่งอยู่อย่างนั้น ใครจะนำเอาน้ำหอมมาเทใส่แผ่นหินก็คงอยู่อย่างนั้นเหมือนกันไม่หวั่นไหว ไม่โยกคลอน หรือโอนเอนไปกับอารมณ์ต่างๆที่มายั่วเย้าหลอกลวง
*บิดาจากโพ้นทะเล
หลวงปู่เจี๊ยะ กำเนิดในตระกูลโพธิกิจ โยมบิดาชื่อ ซุ่นแซ โยมมารดาชื่อแฟโพธิกิจ ครอบครัวมีอาชีพค้าขาย ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารเดือน 7 ขึ้น 6 ค่่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 6 มิถุนายนพ.ศ 2459 ณ บ้านคลองน้ำเค็ม ตำบลคลองน้ำเค็มอำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีเป็นบุตรคนที่ 4 มีพี่น้อง 7 คนและพี่บุญธรรมอีก 1 คน รวมเป็น 8 คน มีลำดับดังนี้ 1.นางพิมพ์ โพธิกิจ พี่บุญธรรม 2.นางฮุด แซ่ตัน 3.นายสง่า โพธิกิจ 4.นางสาวละออ โพธิกิจ 5.ตัวท่านเอง(หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท) 6.นางสาวละมุน โพธิกิจ เป็นข้าราชการครู 7. นางลักขณา (บ๊วย) เกิดในมงคล 8.นายสมบัติ โพธิกิจ
หลวงปู่ท่านเมตตาเล่าให้ฟัง (ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี)หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง) ว่า เริ่มแรกทีเดียวพ่อกับน้องชายที่บ้านติดกัน พากันมาจากประเทศจีน มาแสวงหาชีวืตและสิ่งที่ดีกว่าที่เมืองไทย การเดินทางก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวมา มีแต่เสื้อผ้าและตะกร้าไม้ไผ่สานของจีนสำหรับใส่เสื้อผ้า ใช้ไม้คานหาบคอนมาขึ้นเรือเท่านั้น
"พื้นเพโยมพ่อเป็นคนจีน เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทย ตอนนั้นพ่ออายุประมาณ20กว่าๆ มาอยู่คลองน้ำเค็ม มาเจอโยมมารดาที่นั่น โยมมารดาเป็นลูกครึ่งจีนที่เกิดในเมืองจันทน์ พอแต่งงานกันแล้วก็ย้ายมาอยู่ตำบลหนองบัว โยมพ่อโยมแม่เป็นผู้ที่สนใจในพระพุทธศาสนา ไม่เพียงแต่พ่อแม่เท่านั้น ปู่ย่า ตายาย ก็สนใจในพุทธศาสนา...ก็พวกเราเป็นชาวพุทธนิ..."หลวงปู่พูดเป็นภาษาสำเนียงจันทบุรีแบบน่าฟัง
และกล่าวอีกว่า สมัยก่อนนั้น การไปไหนต้องเดินด้วยเท้าทัังนั้น ไม่มีรถยนต์ พ่อเป็นคนแข็งแรง เดินจากหนองบัวไปเก็บค่าเช่านาที่สี่เจียมเทียน ระยะทางหลายสิบกิโลก็ยังเดินไป เมื่อเดินไปถึงแล้วและเสร็จธุระก็ต้องเดินกลับ พ่อเป็นคนหมั่นขยันมาก
*ท่านสู้ไม่ถอย
หลวงปู่เจี๊ยะนั้น สมัยวัยหนุ่มก่อนบวชท่านเป็นคนแข็งแรง สู้ทุกรูปแบบ จริงจัง ยอมหักไม่ยอมงอ ทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ดั่งใจ และมีความเพียรในการประกอบการงานเป็นเลิศ พูดจาโฮกฮาก ตรงไปตรงมา ไม่กลัวคน ท่านไม่ยอมแพ้ใครเรื่องการงาน ไม่ว่าจะเป็นงานหนัก เช่น แจวเรือ แบกหามสิ่งของ เรียกว่า มีความอดทนบึกบึนเป็นอันมาก
หลวงปู่ท่านเล่าว่า ในวัยหนุ่มทำมาค้าขาย ขายเงาะ ขายทุเรียน ขายมั๊ย นิสัยออกจะติดทางนักเลง เป็นคนจริงจังในหน้าที่การงาน ไม่เกเร แม้จะพูดจาโฮกฮาก ไม่กลัวคน
ต้นตระกูลเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบโกหก จึงเป็นมรดกทางอุปนิสัยติดต่อกันมาเรื่อยๆ จนถึงผู้เป็นลูกหลาน เราเป็นคนทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ดั่งใจ เวลาไปบรรทุกผลไม้ที่ท่าแฉลบ เรือลำไหนมันขึ้นฝั่งไม่ได้ เรือเขาขึ้นไม่ได้ทั้งหมด แต่สำหรับเรือเราต้องขึ้นได้ คือเอาขึ้นจนได้ เราเป็นคนแข็งแรง สู้ทุกรูปแบบ เป็นคนจริงจัง ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เป็นคนซุกซน แต่ไม่เคยซุกซนเรื่องผู้หญิง และไม่เคยยอมแพ้ใครในหน้าที่การงานทั้งปวง
สมัยยังหนุ่มแน่น เราไม่เคยคิดถึงเรื่องบุญบาปคุณโทษอะไร มุ่งแต่ทำงานอย่างเดียว แม้แต่คำว่า นโม ตสฺส ยังว่าไม่จบ แม้บางครั้งไปวัดได้ยินพระท่านเทศนา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายในภายนอก เช่น ตาเห็นรูปอย่างนี้เป็นต้น ฟังแล้วไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย บางทียังคิดเลยว่า ท่านพูดเรื่องอะไร ไม่รู้เรื่อง ฟังแล้วไม่เห็๋นเข้าใจ พอตอนหลังมาบวชจึงได้ทราบว่า อันนี้เป็นธรรมะที่บ่มอินทรีย์เป็นสำคัญ
หลวงปู่ท่านเมตตาเล่าอีกว่า นิสัยตอนเป็๋นฆราวาสมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องธรรม เรื่องความดี เรื่องประมาทอะไร ทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดให้รอบคอบ ตอนหลังเข้ามาบวช ไปอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านสอนว่า
"ให้ไตร่ตรองในหน้าที่การงานทั้งมวล เวลาทำการงานอะไร จงอย่ารีบด่วนในการที่ควรจะช้า จงอย่ามัวชักช้าในการที่ควรรีบด่วน เพราะถ้าเราปฏิบัติไม่รอบคอบเช่นนี้ เราผู้ทำอะไรโง่ๆ งุ่นง่านแบบนี้ มักจะประสบทุกข์" ท่านพูดให้ฟัง และเราก็จำเอา
*ในบุญพระโพธิญาณ
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านกล่าวถึงการอุปสมบทของท่านว่า การบวชในครั้งนั้น เราเป็นผู้มีจิตศรัทธาขึ้นมาเอง การบวชไม่มีใครมาบังคับชักชวนแต่อย่างใด เพียงเพราะในใจคิดว่า สมควรแก่เวลาและอายุ ที่จะทดแทนบุญคุณของท่านผู้มีคุณทั้งหลายได้แล้ว
การบวชนั้น ทุกวันนี้เราถือเป็นประเพณีกันเสียแล้ว บวชเพียง 3 เดือน 2 เดือน 15 วัน 1 เดือน อย่างนี้มันคล้ายๆกลายเป็นประเพณี ไม่ใช่บวชหนีโลก หนีสงสารอย่างนี้
ถ้านึกถึงการบวชที่จริง แม้แต่เราเองแท้ๆก็บวชตามประเพณีเช่นเดียวกัน เป็นอย่างนั้น อายุครบ 20 ปี งานกำลังเยิอะจึงบอกโยมว่า อย่าเพิ่งบวชเถอะ ปีนี้งานเราเยอะ พอถึงวันอายุ 21 ปี ก็ได้เข้ามาบวช บวชก็บวชไปอย่างนั้น นะโม ตัสสะ ฯลฯ อะไรๆก็ว่าไม่ค่อยจะเป็น สวดมนต์ไหว้พระก็ไม่เป็นสักบท
เข้ามาด้วยความเป็นคนดิบ เหมือนไม้สดเข้าไปในเตาที่ไม่ได้ลิดกิ่งลิดก้าน เข้าไปอย่างนั้นอีเหละเกะกะ นานาประการต่างๆ เบื้องต้นก็ได้มาอยู่กับท่าน อาจารย์กงมา ท่านเป็นอาจารย์ผู้ปกครอง ส่วนท่านพ่อลี ในสมัยที่เข้าไปบรรพชาอุปสมบท ท่านเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เป็นคู่สวด ความจริงตั้งใจบวชเดือน 12 ก็จะสึก มันมีความหมายอยู่สำหรับพระหนุ่ม คนหนุ่ม เป็นเช่นนั้น เกือบๆจะไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงเข้า มันเป็นเช่นนั้นชีวิตในวัยหนุ่ม
หลวงปู่ท่านกล่าวอีกว่า พออายุครบบวช ก็มีความปรารถนาจะบวช แต่ก็ติดเรื่องเกณฑ์ทหาร จึงรอเกณฑ์ทหารเสียก่อน หลังจากเกณฑ์ทหารที่จันท์ไม่ถูก เพราะได้ประเภทดี2 คัดออกไว้ก่อน เขารับทหารใหม่ 40 กว่าคน มีคนมาสมัครครบจำนวน เราจึงรอดตัวไม่ต้องเป็นทหาร
เมื่อเกณฑ์ทหารเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้บวชอีก หลังจากเกณฑ์ทหาร 2 ปีถึงได้บวช มีความคิดไว้ในใจว่า บวชเสร็จสึกออกมาค่อยแต่งงานกับคนที่เรารัก แต่บวชไปแล้วสมาธิมันเกิด มันไม่สนใจทางโลกอีกเลย
อีกทั้งในขณะนั้นพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์สายท่ายพระอาจารย์มั่น ก็จาริกมาธุดงค์ประกาศเทศนาธรรมให้คนทั้งหลายละชั่วสร้างความดีในจังหวัดจันทบุรี และก็เดินทางมาที่บ้านหนองบัวซึ่งเป็นบ้านเกิดของเรา ซึ่งในสมัยนั้นพระกรรมฐานแถบทางภาคตะวันออกยังไม่ค่อยมี
ก็มีท่านพ่อลี ธมฺมธโร และพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ นี้แหละที่เป็นผู้นำมาเผยแพร่ ชาวพุทธทางภาคตะวันออกถึงได้ทราบเรื่องร่าวของพระกรรมฐานและการภาวนา
*คำปรามาสก่อนบวช
ด้วยอุปนิสัยของหลวงปู้เจี๊ยะ ในวัยหนุ่มทำมาค้าขายผลไม้ นิสัยออกจะติดทางนักเลง ต้นตระกูลเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนจิงจังในหน้าที่การงาน ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ พูดจาโฮกฮากไม่กลัวคน ...พออายุครบอุปสมบทไดเ 2 ปี ท่านก็มีความคิดที่จะบวชทดแทนคุณบุพการี และหวังว่าจะสึกออกมาแต่งงานกับคนรักที่ชื่อว่า แป้ง ก่อนจะบวชจึงมีคนสบประมาทไว้ว่า อาจอยู่ได้ไม่ครบพรรษา...
ในหนังสือประวัติหลวงปู่ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ก่อนบวชชอบเลี้ยงปลากัดกับน้องชายชื่อนายสมบัติ เวลาเข้าวัดเตรียมตัวเข้านาค ก็มีเพื่อนคือไอ้อ๊อดเข้าคู่กัน ถึงวันก็จะบวชพร้อมกันเป็นนาคคู่พ่อแม่ก็นำเข้าไปฝากกับท่านอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ตอนจะบวช ใครๆเขาก็พูดไว้ว่า "ไอ้เจี๊ยะนี่...มันบวชไม่ได้หรอก ถึงบวชได้ก็คงไม่พ้นที่จะสึกกลางพรรษา ส่วนไอ้อ๊อด มันเป็นคนเรียบร้อย คงจะบวชได้นานอยู่หรอก" แต่ที่ไหนได้ ไอ้อ๊อด บวชได้ไม่กี่วันก็สึก อย่างนี้แหละ คนมันชอบมองแต่อย่างนี้แหละ
หลวงปู่เล่าถึงตอนนี้ท่านแสดงถึงความสนุกในวัยเด็กของท่าน “ก็ใครเขาจะเชื่อ เรามันดื้อยังกะลิง
"ก็ใครเขาจะเชื่อ เรามันดื้อยังกะลิง เป็นตัวแสบประจำ หมู่บ้าน” ท่านพูดแล้วก็หัวเราะพร้อมกับจัดบุหรี่ออกมาสูบแบบมวนต่อมวน
“ก็สมัยก่อนเขานิยมกันว่าเป็นเรื่องดิบดี สูบไม่เป็นยังต้องหัดให้เป็น แต่มาสมัยปัจจุบันนี้มันเป็นเรื่องเสียหาย ความนิยมมันขึ้นอยู่ กับยุคสมัย และความนิยมชมชอบ ถ้าเขานิยมสิ่งใดเขาก็ว่าสิ่งนั้น เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เขานิยมแต่งตัวโป๊ๆ หรือนิยมใช้สิ่งของส สุร่ายเกินตัว คนเขาก็ไม่เห็นว่ามันเสียหาย แม้แต่สามีภรรยายัง ชอบกัน ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายหรืออันตราย"
“การแต่งตัวโป๊ๆ อันตรายหรืออาจจะตายง่ายกว่าการสูบ เข้าม บุหรี่เสียอีก แต่ชาวโลกเขานิยมจึงเหมือนไม่มีพิษมีภัย การสูบบุหรี่ เช่นกันเราสูบมาตั้งแต่ 50 ปีคนหลัง มันเป็นความเคยชินมากกว่า คนทุกวันนี้มันไม่ติดบุหรี่หรอก เพราะมันมีอย่างอื่นให้ติด อันตราย ศาล มากกว่าเป็นไหนๆ"
ท่านกล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า ในเรื่องโลกธรรม อันเป็น เป็น กริยาสอนเราได้อีกทางหนึ่ง ที่มักจะคิดมุมเดียว
*ฉายา “แสบ” ก่อนบวช
หลวงปู่เจี๊ยะ กล่าวว่าพุทธศาสนา ศาสนธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลก ในบรรดาศาสนา กล ทั่วสกลโลกนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบเทียบ จะเอามาเปรียบเทียบไม่ได้เลย ผิดกันไกลราวฟ้ากับดิน ทำไมถึงว่าเช่นนั้น
เรานี่...เป็นคนชนที่สุด แก่นดื้อ พ่อแม่พอมีอันจะกินฐานะดีอยู่ แต่ไม่ได้เคยสนใจในเรื่องธรรมะเลย มัวแต่เที่ยวซุกซนตามประสาคนหนุ่ม คือว่า ไม่มีวี่แววที่จะสนใจในเรื่องธรรมะเรื่องศาสนา เลยแม้แต่น้อย
แต่เราคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง บุญนั้นแหละชักจูงนำพาเข้ามาทางพระศาสนา ประกอบกับบิดามารดาเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อเรื่องบาปกรรมอยู่เป็นพื้นเพนิสัยอยู่แล้ว อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ชักจูงเราให้ เข้ามาทางศาสนาได้
บทเวลาได้มาบวช ใครๆเขาก็แปลกใจ เพราะมันนิสัยขัดกับศาสนาที่อยู่ในกรอบอันดีงาม และมีระเบียบเรียบร้อย แต่สำหรับศาสนาเป็นเครื่องหล่อหลอมอยู่แล้ว และสอนมุ่งเน้นลงที่ใจ เมื่อเราเป็นคนจริงอยู่แล้ว จึงง่ายต่อการปฏิบัติ เพราะคนจริงย่อมถึงธรรม อันเป็นความจริง ไม่มากก็น้อย
ใครๆ เขาก็แปลกอกแปลกใจที่เรายอมบวชแต่โดยดี ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้ยังไม่เคยท่องคำว่า “นโม ตสฺส ฯลฯ” แม้แต่ครั้งเดียว เราไม่ เคยดูถูกบุญดูถูกพระ แต่ตอนนั้นมันห่วงสนุกซุกซนไปตามเรื่องไป ตามวัย คนทั้งหลายเขาเรียกว่า “ไอ้ตัวแสบ” ไม่ใช่นักเลง แต่ไม่เกรงกลัวใคร แม้แต่นักเลง... เล่นอะไรก็ตามห้ามโกง เสียเท่าไหร่ไม่ว่า แต่อย่าโกง
*วารกาลอุปสมบท
การเตรียมตัวอุปสมบทของพุทธมามกะแต่เดิมต้องไปเป็นผ้าขาว หรือนาค รักษาศีลประพฤติธรรมเรียนรู้วัตรปฏิบัติที่จะพึงกระทำต่อวัดและครูบาอาจารย์ จนท่านเห็นว่าสมควรก่อนท่านถึงจะให้บวช
ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้ ท่านก็ยังไม่ให้บวช ธรรมเนียมพระป่ากรรมฐานท่านเคร่งครัดนักเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้ามาจากไหนจะมาบวชได้ง่ายๆ
หลวงปู่เจี๊ยะท่านกล่าวว่า ผู้ที่จะเข้าบวชต้องได้รับการฝึกอบรมเสียก่อน จึงจะบวชเป็นพระได้ แม้ตัวท่านเองก็เช่นกัน ต้องเป็นตาปะขาว รับใช้ติดตามครูบาอาจารย์อยู่ทั้งหลายเดือน
ในระหว่างนั้นต้องหัดขานนาค ออกเสียงอักขระฐานกรณ์ ที่เป็นภาษามคธให้ถูกต้อง เสียง ฑีฆะ รัสสะ เสียงออกนาสิก เสียงโฆสะ อโฆสะ ฯลฯ และต้องฝึกกราบ ต้องหัดภาวนาเรียนกรรมฐาน ฟังเทศน์ฟังธรรมจาก ท่านอาจารย์กงมา เป็นประจำทุกเช้าเย็น
ก่อนที่ยังไม่ได้โกนศีรษะ ด้วยความซุกซนอันเป็นแบบฉบับส่วนตัว ก็ได้แอบหนีมาเยี่ยมบ้านเหมือนกัน แต่เมื่อโกนศีรษะรับศีล เป็นตาปะขาวเต็มตัวแล้ว ก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย จนกระทั่งได้บวช
*นิมิตตื่นจากโลก
หลังจากบวชเป็นนาคได้ไม่นานนัก ระหว่างการฝึกขานนาค ท่องบทสวดต่างๆ คืนหนึ่งขณะที่ฟังท่านอาจารย์กงมาฯ ท่านเทศน์ตามปกติทุกๆ วัน ก็เกิดประสบการณ์ธรรมเป็นครั้งแรกในชีวิต
พลังธรรมในคราวนั้น เป็นแรงบันดาลใจพลิกชะตาชีวิตของนาคเจี๊ยะ ให้ “ตื่นจากโลก” เป็นครั้งแรก
หลวงปู่เจี๊ยะเล่าว่า ท่านก็แสดงธรรมของท่านไปเรื่อยๆ เราก็ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ท่านสอนให้ภาวนา พุทโธ เราก็ภาวนา พุทโธ อยู่อย่างนั้น นั่งเข้าสมาธิฟังเทศน์อยู่อย่างนั้น อันนี้มันก็เป็น เหตุที่แปลกอยู่นะ
พอเรานั่งภาวนา ฟังไปๆ จิตอยู่กับคำบริกรรม หูก็ได้ยินเสียง เทศน์ไป คือจิตก็ทําหน้าที่ของมัน หูก็ทำหน้าที่ของมัน มันเกิดเป็นสมาธิ แต่ตอนนั้น เราไม่รู้ว่ามันเป็นสมาธิ มันรวมจนกระทั่งว่า ไม่มีตัว ไม่มีตน ตัวตนหายหมด แล้วก็ปรากฏภาพนิมิต ที่ตัวเองนี้มาปรากฏหมอบลงไป ฟุบกับกองทราย ที่เป็นทรายขาวอยู่ในบริเวณวัดนั้นอย่างชัดเจน ตัวนี้อ่อนไปหมด ปรากฏว่าในขณะนั้น เราปรากฏว่าตัวเองไม่มี ตัวตน
จนกระทั่งท่านแสดงธรรมจบลง เราถึงรู้สึกตัว ตอนนั้นท่านแสดงธรรมนานมาก ทีหนึ่งเป็นชั่วโมงๆ ขึ้นไป เมื่อจิตถอนออกมา ออกจากที่ภาวนาก็คลานเข้าไปถามท่านว่า “ท่านอาจารย์ครับ เมื่อตะกี้ทำไมผมนั่งฟังเทศน์ท่านอาจารย์ อัน ผมไม่มีตัว ตัวผมหายไปไหน แต่สักประเดี๋ยวตัวผมนี่ ไป...ไปหมอบอยู่ที่...ที่กองทรายนั่นน่ะ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นครับ
คำถามนี้เราถามท่าน เพราะอธิบายไม่ถูก และไม่รู้จะถามท่านอย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ ที่กล้าถามท่าน เพราะความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ ที่ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้เราได้เห็นอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไร...เออ...ทำไป...ทำไป...ดีแล้วนะ” ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ภูมิใจว่าเราทำถูกต้อง
การมีครูบาอาจารย์ดี ท่านรู้จริงผ่านการปฏิบัติมา สอนแบบมีหลักเกณฑ์ไม่สุ่มเดา จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก อาจารย์เป็นบัณฑิต ท่านก็ย่อมสอนในแนวทางเจริญเพื่อความเป็นบัณฑิต แต่ถ้าอาจารย์โง่เขลาสอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มันก็เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด อาจารย์ก็ตาบอด แล้วจะมาสอนลูกศิษย์ที่ตาบอดอยู่แล้วให้ตาดี อันนี้มันเป็นไปได้ยากยิ่งนัก
นี่แหละคือขั้นต้นแห่งการเข้ามาสู่วัด เป็นขั้นตอนที่จะเข้ามาบวช เริ่มแรกจิตมันเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นการปูพื้นฐานทางด้านจิตใจ ให้ฝักใฝ่ในคุณธรรมที่สูงๆ ขึ้นไป อันเป็นการเลื่อนขั้นของจิตให้สูงขึ้น
เพราะจิตมนุษย์มีหลายขั้นหลายตอน จิตหยาบ จิตละเอียด และอาศัยบุญวาสนาเป็นเครื่องหนุนส่งอยู่เบื้องหลัง เมื่อเรามีบุญ เคยสร้างบุญมาแต่ชาติปางก่อน ประกอบกับเกิดมาเจอพุทธศาสนา อันเป็นประเทศที่สมควรแก่การประพฤติธรรมยิ่ง ประการสุดท้าย ถ้าเราตั้งตนไว้ชอบแล้ว การภาวนาก็เป็นเรื่องที่เราทุกคนสามารถ ทําได้
*ความสุขแท้ในโลกไม่มี
หลวงปู่ท่านกล่าวว่าในชีวิตเราเกิดมาก็ไม่เคยพบความสงบอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตมันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า “นั่นอะไรล่ะ... ความสุข” การเข้าวัดเข้าวา เมื่อปฏิบัติได้ก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตที่จะมีความสุขอันแท้จริงในโลกมันไม่มี แต่เราเข้าใจว่ามี
ถ้ามองให้ลึกซึ้งอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแล้ว ไม่มีเลยความสุขในโลก ความสุขอันนั้น เป็นความสุขอันเจือไปด้วยความเร่าร้อนกระสับกระส่าย อย่างมีเงินมากๆ ก็กลัวเขาจี้ปล้น กลัวว่าเขาจะมาแย่งชิงไปเรียกค่าไถ่ สารพัดสารเพ ต้องเป็นทุกข์กังวลรักษา ฝากที่นั่นที่นี่ก็ไม่ดี พกไปมากก็ไม่ดี กลัวจะถูกจี้ จะถูกปล้น จะถูกฆ่าตาย...นี่...สารพัดสารเพ กลัวคนอื่นจะแย่ง คนนี้จะแย่ง พี่น้องอย่างนั้นอย่างนี้ สารพัดใจนั้น คิดไปทุกแง่ทุกมุม นั่น...ใจอย่างนั้น ใจมันก็กังวล ใจเดือดร้อนวุ่นวายอย่างนั้น ไม่ใช่ใจที่สงบ
อย่างที่เรามาทำอย่างนี้ มันก็มุ่งเพื่อความสงบ แต่ก็ต้องอาศัยการนึกคิด เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่มันจะมาก่อกวนความไม่สงบของใจ เพราะการบริกรรมอันใดอันหนึ่งอย่างนี้ มันเป็นเครื่องต่อสู้กันนี่ ต้องเข้าใจอย่างนั้น
สมมุติว่าใจเรานี้ไม่สบาย มันไม่สบายอันใด ก็จ้องเอาสิ่งนั้นมาคิด ทำไมอันนั้นไม่สบายใจ ไปวิตกอันใดใจจึงไม่สบาย เอาเรื่องนั้นมาพิจารณาๆ ซักไม่เกิน ๕ นาที ใจนั้นก็จะเกิดความสงบ ใจก็สบาย
แต่ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งคิด ยิ่งโศก ยิ่งเศร้า ยิ่งอาลัย อาวรณ์สิ่งอันนั้นให้เกิดขึ้น ใจก็ยิ่งเหี่ยวยิ่งแห้ง ยิ่งไม่มีกำลังวังชา หมดเรี่ยวแรง เลยป่วยไข้แทบตาย บางทีก็ตายเลย
นี่มันเป็นอย่างนั้น นี่ไม่ใช่วิธีต่อสู้ มันไม่ใช่วิธีผลักดันเพื่อความเป็นผู้ชนะ มีแต่แพ้อยู่ตลอดเวลา อย่างนั้นไม่ใช่นักรบ ยื่นคอไปให้เขาฟันเลย นี่เป็นเช่นนั้น
(ติดตามอ่านตอนต่อไป)
.......................
คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" : ดำรงธรรม เรียบเรียง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี