(ต่อจากตอนที่แล้ว) ช่วงพรรษาที่ ๔๐ หลวงปู่เจี๊ยะท่านได้ละทิ้งภาระอื่นๆ สิ้นในทันที เมื่อได้ทราบข่าวว่า พระอาจารย์ขาว อนาลโย ป่วยหนัก เพราะท่านเคารพองค์ท่านอย่างยิ่ง จึงได้เร่งเดินทางกลับไปจำพรรษา ที่วัดถ้ำกลองเพล เพื่อปฏิบัติองค์หลวงปู่ขาวโดยเฉพาะ
เมื่อปวารณาออกพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพลแล้ว อาการอาพาธของหลวงปู่ขาว อนาลโย ก็ดีขึ้นบ้างหลวงปู่เจี๊ยะ จึงเดินทางกลับมาที่วัดอโศการามท่านอยู่อบรมสั่งสอนภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกาผู้ใส่ใจในธรรมที่วัดอโศการามนั้นเอง
เมื่อพระอาจารย์เจี๊ยะพักอยู่ที่วัดอโศการามได้ระยะหนึ่งประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๑๙ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฒโน) วัดบวรฯ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชได้มานิมนต์ให้ท่านไปอยู่เป็นเจ้าอาวาสที่วัดญาณสังวรารามเพราะสมเด็จฯ ท่านต้องการให้มีพระกรรมฐาน
สมเด็จฯ ท่านปรารภว่า “วัดอโศฯ กับ วัดบวรฯ มีพระหนาแน่นมาก ต้องมีสถานที่วิเวกให้พระปฏิบัติกันบ้าง เราควรแสวงหาที่สัปปายะเพื่อพระที่เป็นกุลบุตร สุดท้ายภายหลังจะได้มีที่ปฏิบัติธรรมในที่ที่ไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก”
เมื่อสมเด็จฯ ท่านปรารภดังนี้ ก็แสวงหาที่อันเหมาะสม ในที่สุดก็ไปได้ที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดย นายแพทย์ขจรและคุณหญิงนิธิวดี อ้นตระการ ถวายที่จำนวน ๓๐๐ ไร่เศษ และคณะกรรมการจัดสร้างวัดซื้อที่ข้างเคียงอีก ๕๙ ไร่ ๙๙ ตารางวา รวมเป็น ๓๖๖ ไร่ ๒ งาน ๑๑ ตารางวา ประกอบกับเนื้อที่โครงการพระราชดำริอีก ๒,๕๐๐ ไร่เศษ ด้วยศรัทธาปณิธานของผู้ถวายที่แด่สมเด็จพระญาณสังวรฯ จึงตั้งชื่อวัดว่า “วัดญาณสังวราราม”
เมื่อรับนิมนต์ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณสังวรารามแล้ว หลวงปู่เจี๊ยะได้เดินทางมาพร้อมพระอีกจำนวนหนึ่งเพื่อมาจำพรรษาที่วัดนี้วัตรปฏิบัติในขณะนั้น...หลังจากฉันน้ำร้อนน้ำชาประมาณหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ท่านจะนำทำความเพียรทางจิตภาวนาจนถึงเที่ยงคืนพอถึงเที่ยงคืนท่านสั่งหยุดเลยให้เข้านอน
พอถึงตอนตี ๓ พระอาจารย์เจี๊ยะจะทำเสียงสัญญาณด้วยการไอค๊อกแค๊กๆ ถ้ากุฏิที่ท่านเดินผ่านแล้วพระรูปที่อยู่ข้างในนั้น ไม่ส่งเสียงไอตอบหรือจุดตะเกียงออกมาล้างหน้าล่ะ เสียงเคาะปี๊ป! จะดังตามมาทันที
ถ้ายังไม่ตื่นทำความเพียร ครั้งที่ ๒ ก็โน่น ทุบฝากุฏิพังเลยล่ะ หรือใช้ค้อนขว้างเลย แล้วท่านก็จะสอนพระองค์นั้นๆ เลยว่า “ตอนที่ผมอยู่กับหลวงปู่มั่นไม่เป็นอย่างนี้ ถ้าท่านกระแอมก็ต้องแอ้มตอบ แล้วต้องทำความเพียรต่อเลย เราจะต้องมีชาครธรรมต้องตื่นอยู่เสมอ อย่าให้นิวรณ์ครอบงำเราได้”
เหล่าพระและแม่ชีที่อยู่วัดญาณฯ ตอนนั้น ตี ๓ ง่วงขนาดไหนก็ต้องออกมา เดินจงกรมหัวทิ่มหัวตำ ชนตอ ชนต้นไม้ เดินจงกรมออกนอกทางเพราะไม่เคยทำอย่างนั้น ใครก็ตามที่ไปอยู่กับท่าน ต้องปรับสภาพร่างกายให้รับได้ทนได้ ต้องเป็นเดือนๆ ถึงจะชินวิธีปฏิบัติแบบท่าน พระทั้งหลายเดินจงกรม เซไปเซมาเป็นเดือนกว่าจะเข้าที่ ไม่ให้หยุดเลย
และการดำรงชีวิตตามอย่างสมณะที่วัดญาณสังวรารามกับท่านหลวงปู่เจี๊ยะนี้ ท่านกำชับมาก ท่านเน้นว่า “ความถูกต้อง ตามธรรมวินัยให้พากันทำ ไม่ต้องอาย แต่อันไหนผิดธรรมวินัยให้รู้จักละอาย”
พระอาจารย์เจี๊ยะท่านอยู่ที่วัดญาณสังวรารามนี้ นอกจากจะนำพระปฏิบัติทางด้านจิต ภาวนาแล้ว ยังเป็นผู้นำในการก่อสร้างพระอุโบสถ, พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ และเสนาสนะอื่นๆ ตามพระบัญชาของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวรฯ แต่ด้วยเหตุไม่สะดวกอะไรบางอย่าง ตามนิสัยวาสนาของท่าน ท่านจึงเดินทางกลับมา วัดอโศการาม ซึ่งเหมือนร่มโพธิร่มไทรใหญ่ เนื่องด้วย ท่านพ่อลี ธัมมธโร เป็นบุพพาจารย์ของท่าน เมื่อไปที่ไหนมีเหตุขัดข้องก็จะกลับมาที่นี่
การกลับมาครั้งนี้ แม้ท่านพ่อลีจะล่วงไปแล้วถึง ๑๘ ปี แต่สายใยแห่งธรรมก็ยังค้ำจุนในจิตใจอยู่เสมอหลวงปู่เจี๊ยะมาจำพรรษาที่วัดอโศการาม ได้พระอาจารย์บัว ญาณสัมปันโน นิมนต์ให้อยู่อบรมพระเณรต่ออย่าเพิ่งด่วนไปที่อื่น
แต่ด้วยความไม่สะดวกตามนิสัยวาสนาของท่านหลวงปู่เจี๊ยะ มาอยู่ที่วัดอโศการามนี้ ก็ได้อบรมสั่งสอนพระเณรเต็มความสามารถ แต่คงเป็นเพราะบุญวาสนาอาภัพ การอบรมสั่งสอนของท่านจึงไม่เป็นที่ถูกจริตนิสัยของพระเณรนัก คงไม่เคยร่วมทำบุญ ร่วมเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อน ไปสอนเขาอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ
ท่านเปรียบตัวท่านเองกับท่านพ่อลีว่า “เราก็เหมือนขี้ไก่ ท่านพ่อนั้นเป็นประดุจทองคำ”
หลวงปู่เจี๊ยะท่านจึงว่า “ใครเป็นลูกศิษย์ใคร อาจารย์ใครก็เลือกเอาเอง ถ้าอาจารย์ไม่เป็นบัณฑิต ก็ให้รีบตีตัวออกห่าง เพราะถ้าคบอาจารย์ที่เป็นคนลามก เป็นคนเลว ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนคบกับงูพิษ ท่านเปรียบไว้เหมือนงู ที่ตกลงไปจมอยู่ในหลุมคูถ กัดไม่ได้ก็จริง แต่มันอาจทำคนที่เข้าไปช่วยยกมันขึ้นจากหลุมคูถ ให้เปื้อนด้วยคูถได้ด้วยการดิ้นของมัน ยิ่งเป็นงูตัวใหญ่ๆ ยิ่งสกปรกเยอะ
ฉะนั้น จึงให้แสวงหาอาจารย์ที่เป็นบัณฑิต เป็นกัลยาณมิตร เช่นอย่างเรานี้ ก็ได้ท่านพ่อลี ท่านอาจารย์กงมา และท่านพระอาจารย์มั่น เป็นกัลยาณมิตร จึงก้าวเข้าถึงกัลยาณมิตรใหญ่ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายในใจ”
*ธรรมกิริยา
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเป็นคนทำอะไร ถ้าตามประสาโลกก็คงจะหาว่าท่านไม่ใคร่เรียบร้อยนัก พูดจาโผงผาง ตรงเผงจนคนรับไม่ได้ การสอนของท่านก็ตรงทะลุ ซ้ำยังสอนไปดุไปแรงๆ ซ้ำด้วย ยกตัวอย่างในการสอนให้พิจารณาของหลวงปู่เจี๊ยะ
(๑) เมื่อพระเณรลูกศิษย์ท่านพิจารณามากๆ เข้า ท่านก็แสดงอาการพอใจที่ได้อบรมสั่งสอนมา ท่านถามให้พระตอบท่าน ท่านอยากฟังเรื่องราวที่พระรูปใดปฏิบัติ ก็ต้องเล่าถวาย ท่านจึงจะชี้แจงข้อถูกผิด
ท่านบอกว่า ไม่พอ การพิจารณาเท่านี้ยังไม่พอ การพิจารณาอะไรเป็นอสุภะ คือความไม่งามได้ ทีนี้มาลองพิจารณาให้เป็นสุภะ คือความสวยงามหน่อยซิ ท่านก็เล่าการพิจารณาขั้นสุดท้าย สำหรับการพิจารณาให้ฟังว่า “อะไรๆ ทั้งหมดรวมลงมาอยู่ที่การพิจารณากาม สุดยอดกรรมฐานคือกาม ผู้ชายเราสงสัยข้องใจอะไรมากก็เป็นเพศของผู้หญิง เมื่อพิจารณา หน้า ตา เนื้อ หนัง อะไรๆ อื่น ก็เหมือนกันหมด มันเหมือนกันหมดทั้งชายและหญิงตลอดจนสัตว์อื่น แต่เมื่อพิจารณาอย่างนี้พิจารณาได้ยาก แต่จะแก้กาม ต้องพิจารณาแก้ที่ตรงนี้”
ท่านสอนเด็ดขาดและแปลกกว่าใครๆ ที่เคยสอนกันมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครๆ ก็หลงอย่างนี้ทั้งนั้น บางคนถึงกับนั่งฟังไม่ได้
ท่านสอนผู้หญิงให้กำหนดตัดอวัยวะเพศชาย สอนพระผู้ชายให้กำหนดตัดอวัยวะเพศหญิง ท่านสอนพูดออกมาเป็นคำที่โลกรังเกียจ แต่พากันหวงแหนนั่นแหละ ท่านบอกว่าการพิจารณาอย่างนี้เอาให้หนัก ของอย่างนี้สำหรับผู้ต้องการแก้กิเลสเอามันไว้ไม่ได้
พระอาจารย์เจี๊ยะบอกว่า “เมื่อพิจารณาอวัยวะเพศของหญิง จิตยังสะดุ้งสะเทือนแสดงว่ายังใช้การไม่ได้ อ่านตำรายังไม่จบ ให้ไปเรียนคัมภีร์มาใหม่”
พระทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังเช่นนั้นก็กลัว ไม่กล้าพิจารณาบางองค์สั่นทั้งตัว ไม่กล้าทำ ทำไม่ได้ ท่านก็ดุเอาสิว่า “ไอ้ฉิบหาย!! กลัวอะไร ประสา...เอาเลย...พิจารณาเลย”
(๒) และครั้งหนึ่งหลวงปู่เจี๊ยะท่านสนทนากับ ท่านอาจารย์เฟื่อง โชติโก ผู้เป็นสหธรรมิก
อาจารย์เฟื่อง : “เจี๊ยะ! ไปสอนเขาแบบนี้ เขาก็หนีหมดซิ ผู้หญิงฯ สอนให้พิจารณาแต่ของเน่าของเหม็น”
อาจารย์เจี๊ยะ : “ไอ้ฉิบหาย! กูไม่เชื่อเลย ไอ้พวกนั่งจับลมๆ แม่งมึงก็หลับซิ พระพุทธเจ้าไปอยู่กับอาฬารดาบส และอุททกดาบส จนสำเร็จฌานแปด รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ถึงมาเจริญอานาปานสติในตอนหลัง นี่ยังไม่ได้อะไรเลย จะมาจับลม เข้าพุท โธออก ไม่ทันหรอก อยู่กับหลวงปู่มั่น ๓ ปี ๔ แล้ง ไม่เคยสอนซักที จับลมนี่ มีแต่ให้พุทโธเร็วๆ บริกรรมพุทโธเร็วๆ เฟื่อง! สอนอย่างไรวะ”
อาจารย์เฟื่อง : “ไอ้ฉิบหาย! สอนเขาอย่างนี้ให้เหม็นเน่า ตัดคอตัดแขน ตัดขา แลบลิ้นออกมาตัด คอขาด แขนขาด เน่าเฟะ เรี่ยราดอยู่กลางศาลา แค่ฟังเขาก็กลัวแล้ว แล้วใครเขาจะมาฟังเทศน์เล่า ใครเขาจะเข้ามาใกล้ มีเพลงเดียว กัณฑ์เดียว ๑๐ ปี ก็เอาอย่างเก่า ปรับปรุงสำนวนให้มันนุ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือ? บางทีคนเหล่านี้เขาเข้ามาฟังพอสบายใจ ก็กลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมียเขา ธรรมะรุนแรงเอาไปทำเองเอามาออกสังคมไม่ได้”
อาจารย์เจี๊ยะ : “ที่เทศน์ที่แสดงอยู่นี่ เพราะพริ้งที่สุดในโลกแล้ว หาฟังที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว มันไม่น่าฟังก็ชั่งแม่งมัน ก็ธรรมะเป็นอกาลิโกไม่จำกัดกาล เทศน์ที่ไหนก็ซัดมันซะจนเต็มเหนี่ยว”
(๓) พระอาจารย์เจี๊ยะ กิริยาของท่านทำอะไรไม่ติดข้องทางโลกเลย เช่น ปวดท้องฉี่ ท่านจะฉี่ตรงนั้นเลย คนเยอะไม่ต้องอาย ฉี่ตรงนั้นเลย ทีนี้ท่านก็ถูกตำหนิว่าเป็นพระผู้ใหญ่ทำไมถึงไม่ละอาย
แต่เมื่อเรามาพินิจพิเคราะห์ด้วยดี การกระทำแบบท่านนี้ทำยากนะ อย่างเช่นท่านนั่งเกากลางศาลาคนเยอะๆ นี่ คนธรรมดาทำได้เมื่อไร ชนทั้งหลายเขาก็ว่าพระองค์นี้ ไม่มีระเบียบเรียบร้อยเลย นึกไปนึกมาท่านก็รู้ๆ อยู่ แต่ท่านแกล้งทำเพราะรำคาญคน อยากให้มันหนีไปๆ จะได้อยู่สงบสงัด ท่านชอบอยู่เงียบๆ ทำอะไรๆ ของท่านไปไม่มีใครรู้เรื่องท่านหรอก
ศิษย์พระอาจารย์มหาบัวที่เป็นฆราวาส ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ พระอาจารย์มหาบัวก็แนะนำให้มากราบอาจารย์เจี๊ยะนะ นี่แหละ “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง”
(๔) พระอาจารย์เจี๊ยะไม่ว่าจะอยู่ที่ใดท่านละเอียดมาก ผ้าสบงเย็บชุนเป็นระเบียบมาก การใช้จ่ายรัดกุมมาก ใครก็ตามที่ไม่เคยฝึกมาก็จะคิดว่า “ทำไมท่านทำอย่างนี้นะ”
ถ้ามองเผินๆ ก็อาจจะดูหยาบ ถ้าเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นประโยชน์ทุกอย่างที่ท่านทำ เช่นอย่างเดินไปนี่ เห็นตะปู ท่านจะให้ถอนออก แล้วเคาะๆ ๆ เก็บไว้มีประโยชน์ไม่ต้องซื้อหา เวลาเดินไปเจอถังพลาสติกแตกๆ ท่านก็เอามาเคาะๆ เอามาป่นใช้แทนครั่ง ทำด้ามสิ่วด้ามขวาน
เจอหมอนแตกท่านให้พระที่ติดตามลงไปงมมาจากในน้ำ ชาวบ้านมองกันหมด เมื่อได้หมอนมา เอามาตากแดดให้แห้ง แล้วก็นำมาเย็บให้ดี บางทีพระรูปที่ติดตามต้องสะพายบาตรเดินตามหลังอยู่แล้ว ยังต้องมาสะพายหมอนขาดอีก ใครๆ เขาเห็นเขาก็ว่า “บ้า” แม้แต่ผู้ที่ติดตามยังคิดว่า “ทำยังงี้เหมือนบ้า” แล้วคนอื่นที่มองมันจะคิดมากขนาดไหน ดูๆ แล้วเหมือนผีบ้าเดินตามกัน คนจะมองเหมือนคนบ้ากับคนบ้าอยู่ด้วยกัน
ท่านห้าวหาญมากไม่กลัวใคร แม้พระที่นับถือท่านหรือไม่นับถือท่านก็ไม่กลัวเลย ยกตัวอย่างเช่น พระเดินตามกัน ๒ รูปไม่ได้เลย ถ้าท่านรูปใดทำ เป็นได้เรื่อง ท่านจะด่าเลย ท่านจะให้เร่งความเพียร การเดินตามก้นกันเหมือนฆราวาส ท่านไม่ให้ทำ
พระบางรูปข้อวัตรปฏิบัติดีเยี่ยม เป็นเพียงกิริยา แต่พอเสร็จจากการทำตามตาราง ก็คุยกันจุกๆ จิกๆ ท่านพูดเมื่อเห็นพระกระทำเช่นนั้นว่า “กูไปนั่งเยี่ยวอยู่นี่ เท่ากับพวกท่านพิจารณากันทั้งคืนมั้ง”
พระอาจารย์เจี๊ยะดุพระเณรมาก จนบางครั้งพระอาจารย์เฟื่องต้องเตือนพระเณรว่า “อาจารย์เจี๊ยะท่านเป็นอย่างนี้แหละ อยู่กับหลวงปู่มั่น แหย่หลวงปู่มั่นให้ดุได้ทุกวัน พวกท่านอยู่กับท่านอาจารย์เจี๊ยะอย่าถือสาท่านนะ”
(๕) เวลาอบรมลูกศิษย์ท่านจะดุมาก เพราะนิสัยท่านชอบฟังธรรมะที่เผ็ดร้อน เวลาอบรมพระเหมือนว่าท่านจะปั้นหน้า หันหน้าเข้าฝา ทั้งๆที่คุยกันอยู่ ทั้งๆที่ยิ้มๆกันอยู่ดีๆ พอท่านหันหน้ากลับออกมาพูดเรื่องธรรมะนี่ หน้าท่านดุเลย
วันไหนถ้าท่านได้ยินเสียงพระคุยกัน ไม่ประกอบความเพียร ท่านลงทุนทุบร่ม กระแป๋ง ขว้างลงมาโครมครามๆ ท่าจะพูดบ่นๆ ว่า “โน่น!...มันพากันหนีไปทางโน่นแล้ว พวกนี้ต้องสอนแบบนี้ ไม่งั้นไม่กลัว” พูดเสร็จแล้วท่านก็หัวเราะ...เสียงดัง ฮ่า ฮ่า...
เมื่อใดใครก็ตามได้เข้าไปสัมผัสจริง จะรู้ว่าพระอาจารย์เจี๊ยะ เป็นที่อบอุ่นมีเมตตาอารี ท่านมีนิสัยล่อหลอกทดสอบคนใกล้ชิดท่านอยู่เสมอ ไม่ให้ตายใจ เหมือนว่าเวลาเราจะเดินหน้า ท่านจะถอยหลัง เราถอยหลัง ท่านเดินหน้า เราไป ท่านจะเหยียบเบรค เราต้องจับเอาธรรมะท่านไม่ซ้ำซาก พูดตรงๆ
แต่เฉพาะการพิจารณากายนี้ ๑๐๐ ครั้ง ก็พูดอย่างเก่า เทศน์อย่างเก่าไม่เปลี่ยนแปลง เฉพาะการพิจารณากายอย่างเดียว อย่างอื่นอาจมีแหลมคมตามแง่เหตุผล
สำหรับการสอนพระ สอนให้ “พุทโธ” ถ้าพุทโธไม่อยู่ ให้กลั้นหายใจพุทโธไป ๒๐ ครั้ง แล้วออกอีก ๒๐ ครั้งในลมหายใจเดียว ให้รัวเหมือนเอ็ม ๑๖ ท่านว่าอย่างนั้น “พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ให้อย่างนั้นเลย มันถึงจะอยู่ ต้องไว ท่านสอนต่อไปว่า “ถ้าพิจารณากายไม่ไหวนี่ เอาระเบิดใส่ในตัวเรา เอ็ม ๑๖ จ่อขมองเลย ถ้าตัดลิ้นตัดคอยังเสียวอยู่ เอาระเบิดให้แม่มันคอขาดไป”
พระอาจารย์เจี๊ยะท่านออกเที่ยวแสวงหาถิ่น ที่วิเวกทางกายและจิตพอสมควรแก่กาลแล้ว ท่านก็จะเดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดอโศการามในฤดูฝน เพื่ออบรมสั่งสอนพระเณรเท่าที่ความสามารถที่พึงจะกระทำได้
แต่เมื่อท่านกลับเข้ามาอยู่วัดอโศการาม เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง พระเณรก็ไม่ค่อยจะเชื่อฟังท่านมากนัก มักมองท่านด้วยสายตาว่าเป็นพระแก่เลอะเลือนไม่มีความหมาย พระบางรูปถึงขนาดดูหมิ่นว่า “ท่านเป็นพระบ้า”
พระอาจารย์เจี๊ยะท่านกล่าวว่า “พระทุกวันนี้มักติดรูปแบบในการปฏิบัติ มากกว่าวิธีปฏิบัติจริงเพื่อถึงความพ้นทุกข์ ดังคำที่ว่า “โลกชอบ แต่ธรรมชัง หรือธรรมชอบ แต่โลกชัง”
สาเหตุเพราะว่าทุกๆ คนชอบมองแต่กิริยาภายนอกอันเป็นไปแบบสบายๆ เมื่อพระอาจารย์เจี๊ยะเห็นเหตุการณ์อย่างนั้น ท่านจึงสลดใจ
................................
ตามรอยพระอริยะเจ้า! "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท" พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" ท่านคือสมณะสงฆ์สายป่าผู้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองของแม่ทัพกรรมฐานแห่งสยาม : ดำรงธรรม เรียบเรียง
(ติดตามตอนต่อไป) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี