วันจันทร์ ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

วันศุกร์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565, 19.33 น.
Tag : พุทโธ ภาวนา วัดป่าสาละวัน วิปัสสนากัมมัฏฐาน สมถกัมมัฏฐาน สมาธิ สมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ
  •  

ในสมัยปัจจุบันรู้สึกว่าประชาชนชาวพุทธทุกระดับชั้นมีความสนใจในการปฏิบัติธรรม ซึ่งคงจะเป็นที่เข้าใจและคงจะมีผู้พิสูจน์เห็นผลกันมาแล้วว่า การทำสมถะนั้นมีความจำเป็นคือมีความสำคัญเกี่ยวกับการแก้ปัญหาชีวิตประจำวัน

ความจริงการปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้นเป็นหลักและวิธีการที่เราจะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจและจะได้ยึดเป็นหลักแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน


เมื่อพูดถึงเรื่องสมถะก็คือเรื่อง การทำสมาธิ นั่นเองสมาธิก็คือการภาวนานั่นเอง บางทีก็เรียกกัมมัฏฐาน บางทีก็เรียกวิปัสสนาบางทีก็เรียกว่าการทำสมาธิ มีคำพูดที่จะใช้เรียกแทนกันหลายๆ อย่าง

การปฏิบัติกัมมัฏฐานในสมัยปัจจุบันนี้เกิดปัญหายุ่งยากและนักปฏิบัติทั้งหลายมีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุชาวพุทธไปติดภาษา ยกตัวอย่างเช่นบางท่านในเมื่อฝึกฝนอบรมบรรดาพุทธบริษัทให้ปฏิบัติก็ใช้คำว่าจงทำใจให้เป็นสมาธิ และบางท่านก็ว่าจงทำใจให้ว่าง

เพียงคำพูด ๒ ประโยคนี้ นักปฏิบัติก็ยังต้องขัดแย้งกันแต่ความจริงนั้น ทั้ง ๒ คำนี้เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ที่เกิดจากการปฏิบัติแล้ว มีผลเป็นอย่างเดียวกัน

ในสายของท่านอาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์มักใช้คำว่า จงภาวนาทำจิตให้เป็นสมาธิแต่ท่านพุทธทาสบอกว่า จงทำจิตให้ว่าง

แล้วลองคิดดูซิว่า ทั้ง ๒ ท่านนี้ มีบุคคลบางคนเขายกปัญหาขึ้นมาโต้แย้งกันถึงขนาดที่ว่าพิมพ์เป็นเอกสารโจมตีกันขนาดหนักเท่าที่ได้หยิบยกเอาปัญหา ๒ ข้อนี้ไปพิจารณาแล้ว ได้ความว่าการทำจิตให้เป็นสมาธิกับการทำจิตให้ว่างนั้นมันมีผลเท่ากัน

เพราะเหตุว่าการทำจิตให้เป็นสมาธิเมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้วจิตก็ย่อมปราศจากอารมณ์ถ้าหากว่าจิตยังมีอารมณ์ จิตมันก็ไม่นิ่งในเมื่อนิ่งเป็นจิตที่ปราศจากอารมณ์แล้วก็เป็นจิตว่าง

ท่านที่ใช้คำว่าจงทำจิตให้ว่างเมื่อบริกรรมภาวนาหรือกำหนดอารมณ์ของกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้วก็เกิดความว่าง เป็นความหมายที่ตรงกัน

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติอย่าไปติดภาษาการพูดภาษาสมมติบัญญัตินั้นในธรรมะข้อเดียวกันหรือผลที่เกิดจากการปฏิบัติอย่างเดียวกันเราอาจจะใช้โวหารคนละคำพูดได้ เช่นอย่างจิตเป็นสมาธิกับจิตว่าง เป็นต้น

การเจริญสมถกัมมัฏฐานหรือการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานมีปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราปฏิบัติธรรมะเราจะเอาธรรมะมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเราอย่างไรและปฏิบัติเพื่อจะให้รู้ความจริงที่อยู่ในกายในใจของเรานี้ส่วนความรู้ความเห็นอะไรต่างๆ นั้นเป็นเพียงเครื่องรู้ของจิตเป็นเพียงเครื่องระลึกของสติ เป็นเครื่องทำจิตให้มีความเจริญเจริญด้วยพละ เจริญด้วยอินทรีย์ ทำสติให้มีพลังทำสติให้เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง อันนี้คือวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติ

การปฏิบัติในทางกัมมัฏฐานท่านได้แยกออกเป็น ๒ ประเภท คือสมถกัมมัฏฐาน อย่างหนึ่ง และ วิปัสสนากัมมัฏฐาน อย่างหนึ่ง

สมถะเป็นเครื่องอุบายความสงบใจวิปัสสนาคืออุบายให้เกิดปัญญา ความย่อๆ มีอยู่เพียงแค่นี้

การปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานเฉพาะในตำราท่านได้เขียนไว้ถึง ๔๐ อย่าง ซึ่งจะไม่กล่าวถึงจะกล่าวถึงเฉพาะการทำสมถะด้วย การเจริญพุทธานุสติซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในสายสมาธิของท่านอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น

ส่วนมากท่านจะสอนให้ลูกศิษย์ลูกหาเจริญพุทธานุสติเป็นเบื้องต้นเคยได้เรียนถามท่านว่าทำไมจึงสอนให้เจริญพุทธานุสติเป็นเบื้องต้นท่านก็ให้ความเห็นว่า พุทธานุสติคือพุทโธแปลออกมาว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเป็นกิริยาของใจเมื่อใครทำใจให้สงบนิ่ง สว่าง จิตเป็นสมาธิได้ใจของผู้นั้นจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาที่เข้าถึงจิตพระพุทธเจ้า ยึดพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่ง นี้คือความหมายของพุทโธ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ขอแนะนำให้นักปฏิบัติได้บริกรรมภาวนาว่า “พุทโธ”ขอให้ทุกท่านตั้งจิตให้แน่วแน่ พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่จิตพระธรรมเจ้าก็อยู่ที่จิต พระอริยสงฆ์เจ้าก็อยู่ที่จิต

พระพุทธเจ้าอยู่ที่จิต ก็คือความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีพระธรรมอยู่ที่จิต ก็คือกิริยาซึ่งทรงไว้ซึ่งความรู้สึกสำนึกเช่นนั้นตลอดเวลาพระอริยสงฆ์อยู่ที่จิต ก็คือกิริยาที่จิตมีสติ สังวร ระวัง ตั้งใจ ที่จะละความชั่วประพฤติความดี ปลูกความเชื่อมั่นลงในจิตอย่างแน่วแน่

เมื่อพระพุทธเจ้าก็อยู่ในจิต พระธรรมก็อยู่ในจิต พระสงฆ์ก็อยู่ในจิต แล้วก็นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วก็มานึกเอาพุทโธๆๆ เพียงคำเดียวแล้วก็มานึก พุท พร้อมกับลมหายใจเข้า โธ พร้อมกับลมหายใจออก

ช่วงของการหายใจเข้าออกนั้นยังห่าง จิตยังสามารถส่งกระแสไปทางอื่นได้ก็ให้ปล่อยความรู้ลมหายใจเสีย แล้วให้นึก พุทโธๆๆ ติดต่อกัน นึกในใจเบาๆอย่าให้จิตมันส่งความรู้สึกออกไปข้างนอก และอย่าไปนึกว่าเมื่อใดจิตจะสงบเมื่อใดจิตจะรู้จะเห็นอะไร นึกพุทโธคล้ายๆ กับนึกเล่นๆเหมือนกับเราไม่หวังผลตอบแทนใดๆ แต่พยายามนึกติดต่อกันถ้าจิตส่งกระแสไปทางอื่น รู้สึกว่าจิตส่งกระแสไปให้รีบเอาจิตมาไว้ที่พุทโธ

ถ้าหากจิตปล่อยวางคำว่าพุทโธ แล้วก็มีอาการสงบนิ่ง ไม่นึกพุทโธ ให้กำหนดลงที่จิต ความรู้สึกอยู่ที่ไหนจิตอยู่ที่นั่นกำหนดรู้จิต ประคองจิตเอาไว้เฉยๆ เว้นเสียแต่ว่าจิตส่งกระแสออกไปนึกถึงสิ่งอื่นแล้วก็ให้นึกพุทโธตามเดิม ให้คอยสังเกตความเป็นไปขณะที่นึกพุทโธ

ในเบื้องต้นเรานึกถึงพุทโธ เรียกว่า วิตก เมื่อจิตจดจ้องอยู่กับพุทโธ ไม่พรากจากกัน แล้วก็มีความซึมซาบจิตมีความดูดดื่มในบริกรรมภาวนาพุทโธ ทำให้จิตมีความสงบไม่ส่งกระแสไปในทางอื่น ในเบื้องต้นนี้เรียกว่า วิจาร

เมื่อจิตมีความดูดดื่มกับคำว่าพุทโธหนักๆเข้า ปีติ คือความดีใจความเบิกบานใจ ย่อมจะเกิดขึ้น ในขณะที่จิตมีปีติเกิดขึ้นนั้นผู้ภาวนามีอาการต่างๆ บางท่านก็รู้สึกว่าตัวสั่น สั่นนิดๆไม่สั่นมาก แล้วแต่นิสัยของใครบางท่านก็รู้สึกว่าตัวใหญ่พองโตขึ้น บางท่านก็รู้สึกว่าตัวเล็กลงบางท่านก็รู้สึกว่าตัวเบาเหมือนกับลอยอยู่ในอากาศอันนี้เป็นลักษณะของปีติบังเกิดขึ้นในขณะบริกรรมภาวนาเมื่ออาการดังกล่าวข้างต้นบังเกิดขึ้นผู้ภาวนาไม่ควรตกใจ ให้กำหนดบริกรรมภาวนาเรื่อยไป

ถ้าหากจิตปล่อยวางคำบริกรรมภาวนาก็ให้กำหนดรู้ลงที่จิตจิตตัวผู้รู้ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น

เมื่อปีติบังเกิดขึ้น ความสุข อันเป็นผลพลอยได้ย่อมเกิดขึ้นเมื่อจิตมีปีติและความสุขเป็นภักษาหาร เป็นเครื่องยึดจิตย่อมอยู่ในลักษณะแห่งความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย ไม่ดิ้นรน

ผู้ภาวนาจะมีความสุขอย่างเยือกเย็น ซึ่งจะหาความสุขอันใดเสมอเหมือนมิได้เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตก็จะเข้าสู่ความสงบทีละน้อยๆ จนกระทั่งปล่อยวางวิตก วิจาร ปีติ และสุขเข้าไปสู่ความสงบนิ่งเป็นหนึ่ง เรียกว่า เอกัคคตา มีความวางเฉยเป็นลักษณะจิตอยู่ในสมาธิ

ขั้นนี้นอกจากจะมีความเป็นหนึ่งและความวางเฉยแล้วยังจะต้องมีความสว่างเป็นเครื่องหมายเมื่อจิตสงบลงไปถึงขั้นนี้ความรู้ว่ามีกายก็หายไปในความรู้สึกเมื่อกายหายไปแล้วลมหายใจก็หายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆนิ่ง สงบ เด่นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาอันนี้เป็นลักษณะของจิตสงบลงไปด้วยการบริกรรมภาวนา

ในขั้นต้นๆ นี้ เมื่อจิตสงบลงไปแล้วจิตจะไปติดกับความสุขและความสงบซึ่งเกิดในสมาธิ

แต่ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายไม่ควรไปวิตกหรือกลัวว่าจิตไปติดอยู่ในสมถะถ้าท่านใดสามารถทำความสงบได้ถึงขนาดนี้บ่อยๆ ทำหลายๆ ครั้งอย่างที่เรียกว่าทำให้มาก อบรมให้มาก ทำจนชำนิชำนาญเมื่อจิตมีสมาธิขั้นสมถะหรืออัปปนาสมาธิบ่อยเข้าสิ่งที่จะพึงได้จากจิตสงบนั้นคือตัวสติสัมปชัญญะ ซึ่งจะเพิ่มพลังขึ้นทุกทีๆ

เพียงแต่ท่านผู้ภาวนาทำจิตให้สงบลงถึงขั้นปีติและความสุขเท่านั้นพละในตอนต้นๆ คือ ศรัทธาพละ ย่อมจะเกิดขึ้นจิตของท่านก็จะเกิดความรู้สึกว่าอยากปฏิบัติ อยากทำ

ในเมื่อมีศรัทธา ความพากเพียร อันเป็นพละข้อที่ ๒ ก็บังเกิดขึ้นเมื่อมีพละแล้ว ตัว สติ ความระลึก ก็ย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อมีศรัทธา วิริยะ สติเป็นคุณธรรมเกิดขึ้นในจิต จิตเป็น สมาธิ ใน เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิมีพลังแก่กล้าขึ้น ย่อมเกิดเป็น ปัญญา อย่างน้อยก็มีความรู้ว่าสมาธิคืออะไร

ในเมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธิ สิ่งที่เราจะรู้เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือความว่างของจิต ไปตรงกับคำที่ท่านพระพุทธทาสท่านสอนว่า จงทำจิตให้ว่างเมื่อผู้สอนว่าทำจิตให้ว่าง ถ้าผู้ภาวนาทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้เป็นสมาธิได้แล้วจะเกิดความสว่างขึ้นมา ผู้ภาวนาไม่ต้องคอยฟังคำอธิบายเมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่างลงไป ก็เป็นอันเข้าใจ

สำหรับผู้ที่แนะการทำจิตให้เป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบนิ่งเป็นสมาธิแล้วยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า เมื่อจิตสงบลงไปแล้วอย่างนี้ จะใช่จิตเป็นสมาธิหรือเปล่านักปฏิบัติมักจะย้อนกลับมาถามอาจารย์ผู้สอนอีก นี่คือความหมาย มีอยู่อย่างนี้

ประสบการณ์ในการบริกรรมภาวนาพุทโธๆ อยู่นี้เรียกว่า เจริญพุทธานุสติและการเจริญพุทธานุสตินี้เป็นการเจริญสมถกัมมัฏฐานข้อสังเกตในเบื้องต้น เมื่อเราตั้งใจจะนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาเมื่อกำหนดจิตลงไป เราจะรู้สึกว่าเรามีกายในเมื่อมีกายแล้วเราย่อมจะกำหนดรู้ว่าในขณะนั้นสภาวจิตของเราเป็นอย่างไร

ถ้าภาวนาไปมันก็เกิดทุกขเวทนาขึ้นมา จิตยังไปติดอยู่ในความสุขเมื่อเกิดทุกขเวทนา จิตไม่ชอบ ความที่จิตไม่ชอบนั้น เพราะจิตชอบความสุขจิตชอบความสุข อันนี้เป็น กามฉันทะ

บางทีบางโอกาสเราอาจมีอารมณ์คล้ายๆค้างๆซึ่งยังอยู่ในจิต เรียกว่า ราคะความกำหนัดย้อมใจอาจเกิดขึ้นในขณะนั้น นิวรณ์ ๕ ตัวสำคัญอยู่ที่ราคะ

ในเมื่อมีราคะ กามฉันทะก็ย่อมบังเกิดขึ้นในเมื่อกามฉันทะบังเกิดขึ้น จิตมันต้องการความสุขต้องการความสบาย ไม่ชอบการทรมาน

ในเมื่อไม่ชอบการทรมานอย่างนั้น จิตจะเกิดความหงุดหงิดทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อการที่จะปฏิบัติต่อไป เรียกว่า พยาบาท เกิดขึ้น

เมื่อพยาบาทบังเกิดขึ้นแล้ว ความง่วงเหงาหาวนอนก็ย่อมบังเกิดขึ้น ความลังเลสงสัย เรียกว่า วิจิกิจฉา ย่อมบังเกิดขึ้น

ก็มีความรู้สึกว่าจะภาวนาต่อไปหรือจะหยุดแต่เพียงแค่นี้อาการทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาการของนิวรณ์ ๕ ประการบังเกิดขึ้นครอบงำจิตของผู้ปฏิบัติ คือกามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา

การทำสมาธิในขั้นสมถะเพื่อให้จิตสงบนี้จุดมุ่งหมายอันสำคัญก็ตรงที่เราต้องการปราบนิวรณ์ ๕ ให้หมดไปด้วยอำนาจของสมาธิขั้นสมถกัมมัฏฐาน

ในเมื่อนิวรณ์ ๕ สงบระงับไป ผู้ปฏิบัติสงบได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติต่อไปด้วยความปลอดโปร่งด้วยความเบาใจ และด้วยความสะดวกโดยปราศจากกิเลส ๕ ตัวนี้รบกวน

กิเลส ๕ ตัวนี้เราจะกำจัดได้ด้วยอำนาจของสมาธิขั้นสมถะนี่คือประสบการณ์ในการบำเพ็ญสมาธิขั้นสมถกัมมัฏฐาน

และอีกอย่างหนึ่ง สมถะเป็นมูลฐานให้เกิดวิปัสสนาประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งซึ่งนักปฏิบัติทั้งหลายควรจะสังวรระวังไว้นักปฏิบัติทั้งหลายนั้นจิตจะไปติดอยู่กับความสุขพอภาวนาลงไปแล้วมักจะถามกันว่าเห็นอะไรบ้างเมื่อถูกถามบ่อยเข้าจิตก็เลยไปติดกับความสุข

เช่นเมื่อครั้งเริ่มฝึกหัดสมถวิปัสสนาในตอนแรกๆ ในเมื่อภาวนาไป พอมีตาทิพย์ครูบาอาจารย์มักจะถามว่าเห็นอะไรบ้าง พอครูบาอาจารย์ถามอย่างนี้บ่อยๆเข้านักปฏิบัติทั้งหลายก็ไปติดคำถาม เมื่อเริ่มภาวนาก็เริ่มเห็นสิ่งโน้นสิ่งนี้หมายถึงเห็นนิมิตต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อนักภาวนามีจิตสงบ และจะเกิดแสงสว่างขึ้นมาเมื่อเกิดแสงสว่างขึ้นแล้ว จิตส่งกระแสออกไปข้างนอกกายตามแสงสว่างไปก็ย่อมเกิดนิมิตต่างๆขึ้นมา จะเป็นรูปคน สัตว์ ภูตผีปีศาจ ซึ่งสุดแท้แต่มโนภาพใดจะบันดาลให้บังเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติของสมาธิในขั้นนี้จะต้องเป็นอย่างนั้น

ในเมื่อเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่าพึงไปถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่เราจะต้องยึดเอาเป็นผลงานในการปฏิบัติ

เมื่อนิมิตต่างๆเกิดขึ้น ให้ตั้งสติไว้ในท่าทีที่สงบพยายามระวังอย่าให้เกิดเอะใจขึ้นมา ถ้าเกิดเอะใจเมื่อใดแล้วจิตจะถอนออกจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ภาพนิมิตจะหายไปหมด

เพราะนิมิตอันนี้เกิดจากจิตสงบในขั้นของอุปจารสมาธินักภาวนาที่ฉลาด เมื่อนิมิตเกิดขึ้นอย่างนี้ ให้ประคองจิตให้อยู่ในท่าที่สงบคือกำหนดรู้ลงที่จิต คือรู้อย่างเดียวความรู้สึกอยู่ที่ไหน ผู้รู้จะอยู่ที่นั่น จิตก็อยู่ที่นั่นกำหนดรู้ลงที่ตรงนั้น แล้วดูผู้รู้เฉยอยู่ นิมิตนั้นจะอยู่ได้นานท่านที่ฉลาดในการภาวนาอาจจะเอานิมิตนั้นเป็นเครื่องรู้ของจิตเป็นเครื่องระลึกของสติ ด้วยการกำหนดรู้เฉยอยู่ทำให้เกิดเป็นสติสัมปชัญญะจริงๆ สามารถประคองจิตให้อยู่ในสถานะปกติได้จิตก็ย่อมสงบละเอียดลงไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นอัปปนาสมาธิหรือถึงขั้นสมถกัมมัฏฐานถ้าหากไม่ทำเช่นนั้น เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา จิตจะถอนออกจากสมาธิและจิตจะไม่ถึงอัปปนาสมาธินี่คือประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในขณะที่บริกรรมภาวนาในขั้นนี้

นักปฏิบัติทั้งหลายไม่ควรจะตั้งความรู้สึกไว้ว่าเราภาวนาแล้วควรจะเห็นอย่างนั้น ควรจะเห็นอย่างนี้เอากันตรงที่เราภาวนาจิตสงบลงไปแล้วเมื่อจิตปราศจากอารมณ์ปราศจากความคิดจิตจะนิ่งสว่างอยู่เฉยๆ เราเองรู้เห็นกันที่ตรงนี้

เมื่อจิตมีสมาธิ เห็นว่าจิตมีสมาธิ เห็นว่าจิตนิ่งลงเป็นหนึ่ง เห็นว่าจิตมีความเป็นกลางเห็นว่าจิตมีความสว่างไสว เห็นว่าจิตรู้ลงที่จิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนี่คือความรู้ความเห็นของจิตที่นักปฏิบัติจะพึงปรารถนา

ความเห็นนิมิตต่างๆนั้นไม่เป็นสาระสำคัญใดๆ ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ให้เรารู้เห็นลงไปว่า คำว่าจิตนั้นคืออะไร อยู่ที่ไหนสิ่งที่เราจะต้องกำหนดให้ได้อยู่ที่ตรงนี้ เมื่อเรากำหนดลงไปได้ว่านี่คือจิตผู้รู้ก็ให้รู้ลงที่ตรงนี้ นิมิตต่างๆนั้นใครจะรู้จะเห็นหรือไม่นั้นไม่สำคัญอย่าไปต้องการอยากรู้อยากเห็น

และปัญหามีว่า หากว่าได้ทำจิตให้สงบสว่างลงไปแล้วเกิดมีนิมิตขึ้นมาเมื่อจิตของเราไปติดนิมิตนั้น เช่น เห็นเทวดา ขณะนั้นจิตจะละฐานเดิมคือฐานที่รู้อยู่ในจิตแล้วก็ไปยึดภาพนิมิตนั้น ภาพนิมิตนั้นไปที่ไหน ก็จะตามไปที่นั่นในที่สุดเราจะรู้สึกว่าเดินตามหลังเทวดาไป

บางทีเทวดาจะพาไปเที่ยวนรก ไปเที่ยวสวรรค์ ไปดูโน่น ไปดูนี่บางครั้งจิตมันตรงไปดูถึงนิพพาน เห็นนิพพานเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นมาเป็นประสบการณ์ของจิตที่เราควรจะสังวรระวังเอาไว้

เมื่อผู้ภาวนาทำจิตให้สงบนิ่งเป็นอัปปนาบ่อยๆ เข้าถ้าจิตมันไปติดอยู่ในความสุขขั้นอัปปนาสมาธิ ไม่ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาสักทีเราจะทำอย่างไร เป็นปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจ วิปัสสนามันเกิดขึ้นได้ ๒ วิธี

วิธีที่ ๑ เกิดขึ้นได้ด้วยการพินิจพิจารณาสภาวธรรม

สภาวธรรมที่จะพึงยกเป็นหัวข้อในการพิจารณาเบื้องต้นนี้ท่านให้ยกเอาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมาพิจารณาสอนไปสู่ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

พยายามน้อมนึกว่า รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยงสังขาร วิญญาณก็ไม่เที่ยง นึกเอาอย่างนี้ นึกเอาเรื่อยๆและน้อมเชื่อลงไปว่าเป็นความจริงจนกระทั่งจิตมันยอมรับลงไปว่าเป็นความจริงอย่างนั้นแล้วจึงกลับมากำหนดจิตให้สงบลงไปโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง

หรือบางทีขณะที่เรานึกอยู่นั้น จิตอาจจะเกิดความสงบขึ้นมาในระหว่างในเมื่อจิตเกิดความสงบขึ้นมาแล้วก็ให้กำหนดจิตประคองจิตให้อยู่ในความสงบอย่างนั้นต่อไปเว้นเสียแต่ว่าจิตมันจะคิดไปเอง

หากจิตคิดไปเอง ให้ผู้ภาวนานั้นตามรู้ความคิดของตัวเองโดยทำสติตามรู้ความคิด คือจิตคิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไรขึ้นมาก็รู้เพียงแต่สักว่ารู้ อย่าไปช่วยมันคิด

โดยธรรมชาติของจิตมันจะคิดอยู่ไม่หยุดเราจะต้องทำสติกำหนดรู้ความคิดอันนั้นตามไปเรื่อยๆจนกว่าจิตมันจะสงบลงเป็นอัปปนาสมาธิอีกทีหนึ่งในเมื่อจิตสงบลงเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ให้กำหนดรู้อยู่อย่างนั้น

เมื่อจิตสงบลงไปสู่อัปปนาสมาธิ เราจะไม่มีเจตนา ไม่มีสัญญาใดๆทั้งนั้นจะน้อมจะนึกอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะในตอนนี้จิตมันถึงธรรมชาติแห่งความเป็นเองเป็นสมาธิโดยปราศจากความตั้งใจ

ถ้าจิตจะเกิดความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาในขณะนี้เป็นเรื่องของจิตที่จะต้องเป็นไปเอง จิตในขั้นนี้เราจะตั้งใจน้อมนึกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในตอนนี้จึงขอทำความเข้าใจกับท่านอีกว่าในตำราท่านกล่าวว่าเมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิอย่างดีแล้วจงน้อมจิตหรือยกจิตให้สู่ภูมิวิปัสสนากัมมัฏฐาน

เมื่อจิตนั้นสงบลงไปสู่ขั้นอัปปนาสมาธินั้นเราจะยกก็ไม่ได้ จะน้อมก็ไม่ได้จะปรุงจะแต่งอะไรไม่ได้ทั้งนั้นเพราะจิตมันปราศจากรูป เวทนา สัญญา เจตนาโดยประการทั้งปวงพอจิตมันสงบแล้วมันเป็นไปเอง

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะทำอย่างไร โอกาสที่จิตมันจะถอนออกจากสมาธิย่อมมีเมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ ในขั้นนี้จะเกิดความคิดขึ้นมา ให้กำหนดตามรู้ความคิดไปะคิดเรื่องอะไรก็ได้ มันจะคิดเรื่องของบุญ คิดเรื่องของบาปคิดเรื่องโลก คิดเรื่องธรรม อะไรก็แล้วแต่หน้าที่ของเราเพียงแต่กำหนดตามรู้ไปเรื่อยๆเมื่อสติตามทันความคิดได้เมื่อใดขณะนั้นมันก็กลายเป็นภูมิแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้นมาเอง

และอาจจะสงสัยว่า เมื่อทำจิตแล้ว จิตไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิสักทีจะคอยโอกาสให้จิตถึงอัปปนาสมาธิหรือขั้นสมถะไปจนตลอดชีวิตจะทำอย่างไรผู้ภาวนาจะไม่ตายก่อนหรือ กว่าจะยกจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนาได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเราจะทำจิตให้สงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธหรือทำสมถกัมมัฏฐานไม่ได้ เราก็ไม่ต้องทำ แนะนำให้ทำอย่างนี้ในเมื่อเราจะภาวนาเมื่อใดให้กำหนดรู้ลงที่จิตคอยจ้องดูความคิดของตนเอง ความคิดอะไรเกิดขึ้นกำหนดรู้นี้เฉพาะในขณะเรานั่งหลับตากำหนดรู้อยู่อย่างนั้นไม่ต้องไปนึกถึงอะไร ปล่อยให้ความคิดมันเกิดขึ้นมาเอง

คิดขึ้นมาแล้วกำหนดรู้ คิดขึ้นมาแล้วกำหนดรู้รู้ตามไปเรื่อย รู้เดี๋ยวนี้ตามไปเรื่อยๆ ตัวรู้นั้นคือตัวสติตามรู้ทันนั่นเอง ในเมื่อสติตามรู้ทันเมื่อใดจิตมันจะแสดงอาการสงบลง ถึงแม้ว่ามันจะไม่สงบ นิ่ง สว่างเหมือนอย่างที่ท่านอธิบายไว้ในตำรับตำราก็ตามเป็นแต่เพียงเรามีสติตามทันความคิดของเรา

เมื่อสติตามทันความคิดแล้ว ความคิด ความรู้ กับจิตนี้มันจะมีลักษณะคล้ายๆ กับว่ามันแยกออกจากกัน จิตตัวผู้รู้มันจะรู้อยู่เฉยๆแต่สิ่งที่ผ่านเข้ามาเป็นความคิดนั้นสักแต่ว่าคิดไม่มีความยึดถือในจิตอันนั้น อันนี้เป็นตัวสติที่มันมีพลังแก่กล้าขึ้นและมันจะมีลักษณะที่กายกับจิตที่สามารถแยกจากกันได้

อารมณ์กับจิตก็สามารถแยกออกจากกันได้ถ้าเราอบรมสติตัวนี้ให้มีความเจริญขึ้นเป็นผู้ที่มีสติเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวงอันนี้ถือหลักปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานในเบื้องต้น

วิธีที่ ๒ เกิดขึ้นได้ด้วยการพินิจพิจารณากายคตาสติสภาวธรรมที่จะพึงยกเป็นหัวข้อในการพิจารณาได้อีกอย่างหนึ่ง คือให้กำหนดพิจารณาร่างกายของตนเป็นหลัก ให้พิจารณาตั้งแต่ ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน เนื้อ เอ็น กระดูก จนครบอาการ ๓๒ โดยน้อมนึกให้จิตรับรู้ไปในแง่เป็นของปฏิกูล ไม่สวยไม่งาม น่าเกลียด โสโครก ดังที่ปฏิปทาของท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีโล บรรยายมาแล้วนั่นเอง  

...........................

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ( คัดลอกจากลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=38286 )

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'หวย\'เป็นเรื่องของโชค คนที่มีโชคเป็นพื้นฐานต้องเป็นคนทำทานมาก่อน:โอวาทธรรม \'ท่านพ่อลี\' 'หวย'เป็นเรื่องของโชค คนที่มีโชคเป็นพื้นฐานต้องเป็นคนทำทานมาก่อน:โอวาทธรรม 'ท่านพ่อลี'
  • ทำสมาธิอย่างไรไม่ให้ \'พญามาร\' แทรกแซง : ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม ทำสมาธิอย่างไรไม่ให้ 'พญามาร' แทรกแซง : ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม
  • \'ความอ่อนน้อมถ่อมตน\' เป็น \'คาถาศักดิ์สิทธิ์สู่สัมมาทิฐิ\' 'ความอ่อนน้อมถ่อมตน' เป็น 'คาถาศักดิ์สิทธิ์สู่สัมมาทิฐิ'
  • แก่นแท้ของการทำบุญอยู่ที่\'ใจ\'ไม่ใช่จำนวนเงิน ทำบาทเดียวก็ได้อานิสงส์มหาศาล แก่นแท้ของการทำบุญอยู่ที่'ใจ'ไม่ใช่จำนวนเงิน ทำบาทเดียวก็ได้อานิสงส์มหาศาล
  • \'ถ้าอยากเห็นธรรมประเสริฐ\' จงพยายามตักตวงแต่บัดนี้ด้วยความเข้มข้นทางความเพียร 'ถ้าอยากเห็นธรรมประเสริฐ' จงพยายามตักตวงแต่บัดนี้ด้วยความเข้มข้นทางความเพียร
  • พลังแห่งกุศลผลทานที่เราสร้างไว้นี่แหละตอบสนองเรา ไม่ใช่เทวฤทธิ์บันดลบันดาลมาจากที่ไหน พลังแห่งกุศลผลทานที่เราสร้างไว้นี่แหละตอบสนองเรา ไม่ใช่เทวฤทธิ์บันดลบันดาลมาจากที่ไหน
  •  

Breaking News

ด่วน! ไฟไหม้โรงงานกระดาษทิชชู 'สระบุรี' มีคนติดในอาคารเพียบ

ย้อนรอย 7 ปี '13 หมูป่าติดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน' ปาฏิหาริย์ที่โลกไม่ลืม

‘วันนอร์’ยัน‘รองปธ.สภาคนที่ 2’ ไม่ใช่โควตาของพรรคใด คาดไม่เกิน ก.ค.ได้คนใหม่

(คลิป) ซัด! ขี้ข้า 'เพื่อไทย' รักชาติรับไม่ได้ รับได้เฉพาะขายชาติ?

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved