ทีมวิจัย ม.อ. แจงผลงานวิจัยโควิด 19 จากแมวสู่คนที่คาดว่าออกมาเป็นงานวิจัยชิ้นแรกของโลก พบติดเชื้อมาจากเจ้าของที่คลุกคลีใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง และแมวได้จามใส่สัตวแพทย์ที่ตรวจหาเชื้อแมวอีกคน ระบุเกิดขึ้นได้น้อยมาก พร้อมฝากเตือนไปยังคนรักสัตว์หากสงสัยจะเป็นโควิด 19 ให้อยู่ห่างสัตว์เลี้ยงไปก่อนจนกว่าจะปลอดภัย และขอให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ดูและ หรือทิ้งขว้างสัตว์เลี้ยงของตนเอง
20 มิ.ย.65 จากกรณีที่ทางสำนักข่าวต่างประเทศคือ The New York Times ได้มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยของประเทศไทย โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา ผ่านวารสาร Emerging Infectious Diseases ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) โดยระบุว่า ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศแรกที่พบการติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งคาดว่า เป็นการติดจากแมวสู่คนเป็นครั้งแรกของโลกนั้น
ล่าสุด ที่ห้องประชุม 201 ชั้น 2 โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทาง รศ.ดร.นพ.ศรัญญู ชูศรี ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาลฯ และเป็นหนึ่งในทีมวิจัยเรื่องดังกล่าว ได้แถลงในรายละเอียด
โดยเปิดเผยว่า เคสนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน ส.ค. 64 ปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโควิด 19 เป็นพ่อลูกชาวกรุงเทพฯ อายุ 64 ปี และ 32 ปี แต่เตียงมีไม่พอที่รักษา จึงประสานที่จะเดินทางมารักษายังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เนื่องจากมีญาติอยู่ที่หาดใหญ่ด้วย และเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวกันมา 2 คน พ่อลูก พร้อมกับแมวที่เลี้ยงเอาไว้ด้วย 1 ตัว เป็นแมวไทย สีส้ม อายุ 10 ปี
จากนั้นในวันที่ 8 ส.ค. 64 จึงมีการนำตัวผู้ป่วยโควิด 19 ทั้ง 2 คน เข้าสู่กระบวนการรักษาในหอผู้ป่วยโควิด 19 ของ ม.อ. ส่วนแมวนั้นได้มีการส่งไปให้ทางสัตวแพทย์ของโรงพยาบาลสัตว์ทำการตรวจหาดเชื้อโควิด 19 ด้วยเช่นกันในวันที่ 10 ส.ค. 64 โดยการแยงจมูก และตรวจทวารหนัก โดยสัตว์แพทย์และทีมงานรวม 3 คน
แต่ปรากฏว่า ในระหว่างทำการตรวจอยู่นั้น แมวได้เกิดจามออกมาในช่วงที่กำลังเก็บสิ่งส่งตรวจ และโดนสัตวแพทย์หญิงท่านหนึ่ง อายุ 32 ปี ซึ่งในขณะนั้นสวมเครื่องป้องกันแค่ถุงมือ และหน้ากากอนามัย เท่านั้น แต่ไม่มี face shield หรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตาแต่อย่างใด
ซึ่งหลังจากนั้นผลตรวจของแมวพบว่า เป็นบวก มีเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์เดลต้า ส่วนสัตวแพทย์ท่านนี้หลังจากตรวจแมวได้ 3 วัน ในวันที่ 13 ส.ค. 64 ก็เริ่มมีอากรไข้ ไอ และน้ำมูก และในวันที่ 15 ส.ค. 65 ก็ตรวจพบเชื้อโควิด 19 และเข้าสู่กระบวนการรักษา โดยทั้งหมดทั้งคู่พ่อลูก แมว และสัตวแพทย์ อาการไม่หนักมาก และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หลังรักษาตัวอยู่เกือบ 10 วัน ราวปลายเดือน ส.ค. 64 และจากการติดตามทั้งคนและแมวปลอดภัย แข็งแรงดี ไม่มีอาการข้างเคียง หรือโรคแทรกซ้อนแต่อย่างใด
รศ.ดร.นพ.ศรัญญู เปิดเผยอีกว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นได้มีตั้งสมมติฐานว่าเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น แพร่กระจายจากสัตว์สู่คนได้อย่างไร เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยพบความเชื่อมโยงอยู่ 2 อย่างคือ ระยะการฟักตัวของโรค โดยในคนเชื่อจะอยู่ได้ราว 1 สัปดาห์ ในสัตว์ประมาณ 5 วัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันตามช่วงเวลา
และอีกส่วนคือ การตรวจลำดับเบส และรหัสพันธุกรรม จากทั้งคู่พ่อลูกเจ้าของแมว แมว และสัตว์แพทย์ พบว่า ตรงกัน นอกจากนี้ยังมีการตรวจเทียบเคียงกับการแพร่ระบาดของโควิด 19 คลัสเตอร์ใหญ่ๆหลายจุดใน จ.สงขลา เนื่องจากอาจเป็นไปได้ว่า แมวอาจรับเชื้อมาจากชุมชนหรือแหล่งอื่นหรือไม่ แต่พบว่า ไม่ตรงกัน
จึงได้ข้อสรุปว่า แมวนั้นติดเชื้อโควิด 19 มาจากเจ้าของที่คลุกคลีกันมาตลอด และเจ้าของเองก็ไม่ทราบว่า แมวนั้นติดเชื้อโควิด 19 ไปแล้ว ก่อนที่จะแพร่เชื้อไปยังสัตวแพทย์ที่ทำกาตรวจ เนื่องจากแมวได้จามออกมาใส่โดยตรง ซึ่งสัตวแพทย์ไม่ได้สวมเครื่องป้องกันทั้ง face shield และเครื่องป้องกันดวงตา จึงรับเชื้อเข้าไปเต็มๆ ส่วนทีมงานอีก 2 คน นั้นปลอดภัย เนื่องจากไม่ได้อยู่ใกล้
รศ.ดร.นพ.ศรัญญู กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยการแพร่เชื้อโควิด 19 จากคนไปสู่สัตว์เลี้ยงในต่างประเทศมาบ้างแล้ว แต่การแพร่เชื้อจากสัตว์เลี้ยงคือแมวไปสู่คนนั้น เคสนี้น่าจะเป็นเคสแรกที่มีการนำเสนอออกมาเป็นงานวิจัย
และมีข้อเสนอแนะสำหรับคนที่มีสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมว นั้น หากสงสัยว่า ตนเองอาจะตกเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือคาดว่า ได้รับเชื้อโควิด 19 ให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลี หรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงไปก่อนประมาณ 7-8 วัน เพื่อความปลอดภัย เพราะ สัตว์เลี้ยงเมื่อได้รับเชื้อโควิด 19 แล้วนั้น ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใดๆ และเชื้อจะมีระยะฟักตัวอยู่น้อยกว่าคนราว 5 วัน และหายไปเองได้ และการที่สัตว์เลี้ยงจะแพร่เชื้อไปสู่คนนั้นก็ยากมาก หรือน้อยมากเช่นเดียวกัน เพราะ ส่วนใหญ่จะมาจากการไอ จาม น้ำมูก และอุจจาระ ซึ่งสิ่งเหล่านี้น้อยมากๆ ที่คนจะได้สัมผัส และเมื่อสัมผัสส่วนใหญ่ก็ล้างทำความสะอาดกันในทันทีอยู่แล้วด้วย
รศ.ดร.นพ.ศรัญญู กล่าวด้วยว่า งานวิจัยดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับโควิด 19 ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยง แต่ยังถือว่าพบได้น้อยมาก แค่ขอให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และอย่าใช้เรื่องเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการไม่ดูแลสัตว์เลี้ยง หรือเอาสัตว์เลี้ยงไปปล่อย เพราะ ความเข้าใจผิดๆ
ส่วนการจะมี หรือผลิตวัคซีน เพื่อใช้สำหรับป้องกันโควิด 19 ในสัตว์เลี้ยงหรือไม่นั้น ทางทีมวิจัยไม่ได้มีข้อมูลในส่วนนี้ แต่หากพบการระบาดในสัตว์เลี้ยงเป็นวงกว้าง ทางภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็อาจจะเป็นผู้ศึกษาในรายละเอียดต่อไป.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี