“เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” เชื่อได้ว่าปัจจุบันน่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจของชาว “ศรีลังกา” จำนวนมาก เมื่อสถานการณ์ภายในประเทศเข้าขั้นวิกฤต โดยรายงานข่าวเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2565 ระบุว่า ถึงขนาดต้อง “ชัตดาวน์” ปิดโรงเรียนและบริการของรัฐบาลที่ไม่จำเป็นทั้งหมดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ท่ามกลางความขาดแคลนทั้งพลังงานเชื้อเพลิงและอาหาร ซึ่งศรีลังกากำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 70 ปี โดยมีความหวังอยู่ที่การขอกู้เงินจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มาใช้บรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูประเทศ
ที่ผ่านมา มีการวิเคราะห์สาเหตุของวิกฤตที่เกิดในศรีลังกา ซึ่งมีอยู่หลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ “การเปลี่ยนนโยบายด้านเกษตรกรรมกลับทิศแบบก้าวกระโดด”โดยในงานเสวนา “เคมี พระเอกหรือผู้ร้าย ครั้งที่ 3” หัวข้อ“อินทรีย์-เคมี โอกาสของไทย ภายใต้วิกฤตอาหารโลก”จัดโดย กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทยและสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตร เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2565 ก็มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงเป็นอุทาหรณ์
จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และอดีตผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่าที่ประเทศศรีลังกา มีความพยายามไปสู่ความเป็น “ประเทศปลอดเกษตรเคมี 100%” โดย โกตาบายา ราชปักษา (Gotabaya Rajapaksa) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เคยหาเสียงไว้ว่าหากตนเองมีอำนาจจะผลักดันเรื่องดังกล่าวให้ได้ ซึ่งเมื่อชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้นำประเทศก็เริ่มดำเนินการทันที โดยมีแรงกดดันมาจากปัญหาค่าเงิน ทำให้ศรีลังกาต้องนำเข้าปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในราคาแพงขึ้น
“ปกติศรีลังกาต้องซื้อปุ๋ย ซื้อสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเข้าประเทศ คิดแล้วประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) เขาก็มองว่าเงินก็ช็อตแล้วนะ แล้วเราก็มีนโยบายเกษตรอินทรีย์ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัวก็สั่งห้ามนำเข้าปุ๋ยเคมี ห้ามนำเข้าสารเคมี ประหยัดสตางค์ดีนะ ประหยัดไปได้ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรากฏว่าพอแบนไปได้ 6 เดือน เกิดอะไรขึ้น? ผลผลิตข้าวฤดูที่เขาทำ ลดลงไปเลย 33% ปรากฏว่าเกิดการขาดแคลน ก็ต้องสั่งนำเข้าข้าวจากจีนกับอินเดีย เข้าไปอีกตั้ง 6 แสนกว่าตัน เอาไปให้คนของเขากิน” จรรยา กล่าว
นอกจากเกิดภาวะขาดแคลนอาหารแล้ว รัฐบาลศรีลังกายังต้องใช้งบประมาณ 349 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายเงินเยียวยาให้กับชาวนา เนื่องจากพบว่าการเปลี่ยนจากเกษตรเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์ไม่ได้ปริมาณผลผลิตข้าวตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งนอกจากข้าวแล้ว ชาซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดของศรีลังกา นโยบายดังกล่าวได้ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลงร้อยละ 35 คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 425 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.2 หมื่นล้านบาทภายในเวลาเพียง 6 เดือนหลังเดินหน้านโยบายเกษตรปลอดสารเคมี 100%
การปรับนโยบายดังกล่าวยังส่งผลให้ราคาอาหารในประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 5 เท่า มีคนยากจนเพิ่มขึ้นถึง5 แสนคนภายในเวลาเพียง 1 ปี กลายเป็นปัญหาคู่กับระหว่างวิกฤตเศรษฐกิจ (Economics Crisis) กับวิกฤตอาหาร (Food Crisis) โดยการแบนปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในศรีลังกานั้นเริ่มต้นในช่วงฤดูฝนอันเป็นฤดูเพาะปลูก เมื่อไม่มีตัวช่วยบำรุงดูแล ผลผลิตที่ได้ก็น้อยลงทันที
“เขามีการสรุปของเขา มันล้มเหลวเพราะว่าการทำเกษตรอินทรีย์ชั่วข้ามคืนของเขาคือตัดสินใจเร็วมาก มันสั้นเกินไป เกษตรกรปรับตัวไม่ทัน แล้วรัฐบาลเองก็ไม่สามารถ Supply (จัดหา) เรื่องของปุ๋ยอินทรีย์ให้ได้ สั่งปุ๋ยอินทรีย์มาจากจีน ลงเรือมา ปรากฏว่าพอมาถึงประเทศเขา สุ่มปุ๊บเจอเออร์วิเนีย (Erwinia) คือแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคเน่าในผัก ก็ต้อง Reject (ปฏิเสธ) กลับไป แล้วมันก็วุ่นวายไปหมดเพราะว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แล้วรัฐบาลก็ไม่สามารถ Support (สนับสนุน) ปุ๋ยอินทรีย์ให้พื้นที่ทั้งศรีลังกาได้
แล้วการตัดสินใจเรื่องพวกนี้ จริงๆ ไม่ใช่นักวิชาการเขาไม่เตือน ก็มีคนออกมาเตือนเยอะแยะ 30 กว่าหน่วยงาน ก็ไม่ฟัง อันนี้ก็เลยเป็นที่มาของความล้มเหลวของเขา คือเขาประกาศแบนสารเคมีทั้งประเทศเดือน เม.ย. 2564 พอเดือน พ.ย. 2564 กลับมาอนุญาตให้ใช้ปุ๋ยเคมีได้ แต่ยังห้ามใช้สารกำจัดศัตรูพืชไม่ว่าจะเป็นโรคหรือแมลง วัชพืช ยังห้ามใช้อยู่” จรรยา ระบุ
นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ชี้ว่าศรีลังกาเคยมีบทเรียนเรื่องความพยายามเลิกใช้สารเคมีในภาคเกษตรมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในปี 2547 มีการห้ามใช้สารพาราควอต (Paraquat) หลังเกิดกรณีคนนำไปดื่มเพื่อฆ่าตัวตาย ในเวลานั้นเกษตรกรไม่ได้ต่อต้านอะไรเพราะยังมีสารไกลโฟเซต (Glyphosate) ให้ใช้ ต่อมาในปี 2558 มีการอ้างงานวิจัยว่าไกลโฟเซตอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งและโรคไตเรื้อรัง จึงสั่งแบนไกลโฟเซตเป็นสารตัวที่ 2 ส่งผลให้ธุรกิจใบชาได้รับความเสียหายอย่างมาก อีกทั้งยังพบการลักลอบนำเข้าไกลโฟเซตจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้
ทำให้ในปี 2561 รัฐบาลศรีลังกาในขณะนั้น ตัดสินใจยกเลิกประกาศห้ามใช้ไกลโฟเซต เปลี่ยนเป็นการจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะในพืชบางชนิด เช่นชา ยางพารา กระทั่งในปี 2564 เมื่อมีการเดินหน้านโยบายปลอดเกษตรเคมี 100% ไกลโฟเซตจึงถูกแบนอีกครั้ง ทั้งนี้ ประกาศห้ามใช้ไกลโฟเซตที่ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2558 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงหลายประการ อาทิ ผลผลิตใบชาลดลงถึง 40 ล้านกิโลกรัม ภายในเวลาเพียง 1 ปี
“ปัญหาสำคัญคือ Quality (คุณภาพ) ของใบชาเขาเสียหายมาก เพราะว่ามีวัชพืชปนไปกับใบชา ทำให้รสชาติใบชาเขาเสีย แล้วเกษตรกรเขาโดนงูกัดตายเยอะมาก เพราะวัชพืชมันรกมาก เกษตรกรทำไม่ทัน แล้วก็ปัญหาอีกอันคือส่วนใหญ่ศรีลังกาจะปลูกชาในที่สูงเป็น Slope (ทางลาด) ฉะนั้นพอเขาไปใช้การดายหญ้า แรงงานคนไปดายหญ้า มันก็เกิด Erosion (การพังทลาย) เยอะ นึกออกไหม? พอฝนตกดินมันก็ไหล ปกติถ้าเขาใช้ไกลโฟเซต รากข้างล่างมันไม่เป็นอะไรและไม่กระเทือนหน้าดิน เวลาฝนตกมันก็ไม่ชะไปมาก
แต่พอใช้แรงงานไปดายหญ้ามันเกิดปัญหา Erosion เยอะมาก แล้วพื้นที่ปลูกใบชาเกษตรกรก็ทำไม่ไหว ก็ลดลงไป 10% ก็เยอะมากเป็นแสนไร่ อันนี้เป็นสาเหตุที่ทำไมเขาถึงกลับมาให้ใช้อีก เพราะข้ออ้างที่รัฐบาลศรีลังกาบอกว่ามันอาจเป็นสาเหตุโรคไตเรื้อรังไหม? หรือเป็นสารก่อมะเร็งไหม? มันไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นก็เลยต้องกลับมา ก็เลยมองว่าตอนนี้นโยบาย No Pesticide (ห้ามใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช) ของเขา คือปุ๋ยเคมีโอเคแล้ว แต่ยัง No Pesticideศรีลังกาจะรอดจาก Food Crisis ไหม? อันนี้ก็คิดเป็นโจทย์ไว้”จรรยา กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี