ประเทศไทยได้มีการปลดล็อกให้ใช้กัญชาทางการแพทย์มาเมื่อไม่นานมานี้ ควบคู่กับการศึกษาเพิ่มเติมจนถึงปัจจุบันมีการอนุญาตให้ใช้รักษาโรคในทางการแพทย์ได้ 3 กลุ่มโรค คือ “กลุ่มที่ได้ประโยชน์” ประกอบด้วย 1.คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด 2.โรคลมชักรักษายาก ดื้อต่อยารักษา 3.กล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง 4.ปวดประสาท 5.ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ ที่มีน้ำหนักตัวน้อย และ 6.เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะประคับประคอง หรือระยะสุดท้ายของชีวิต “กลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์” คือ โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ วิตกกังวลทั่วไป และปลอกประสาทอักเสบ และ “กลุ่มที่อาจจะได้ประโยชน์ในอนาคต” เช่น การรักษามะเร็ง ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลอง ดังนั้นในส่วนนี้ทางการแพทย์ยังขอให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษาที่เป็นมาตรฐาน อย่าใช้กัญชาเป็นทางเลือกแรก
ขณะเดียวกันก็ได้อนุญาตให้สามารถนำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมผลิตภัณฑ์ และควบคุมแหล่งปลูก แหล่งที่มาของกัญชาที่ทำมาใช้
แต่จากความพยายามของพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันเพื่อปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด โดยประกาศ สธ. มีผลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา ปลดล็อกให้ทุกส่วนของกัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดอีกต่อไป ยกเว้นสารสกัด THC เกิน 0.2 % ที่ยังเป็นยาเสพติดอยู่
เพียงวันแรกของการปลดล็อก พบสินค้าหลายชนิดที่มีส่วนผสมจากกัญชาวางจำหน่ายทั่วประเทศ อย่างเปิดเผยและเสรีทั้งเครื่องดื่ม ขนม รวมถึงต้นกัญชา เป็นต้น มีความห่วงใยจากหลากหลายกลุ่ม อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ นักวิชาการ ตัวแทนภาคประชาสังคม รวมถึงศิลปินดารา นักร้อง ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน สังคม โดยเฉพาะการปกป้องเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง
ดังนั้น 33 องค์กรด้านเด็ก เยาวชนและครอบครัว นำโดย นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก, สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย, สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย, เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง, เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน, เครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา, มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก, มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว, เครือข่ายบางกอกดีจัง ฯลฯ จึงรวมตัวกันเดินทางไปยังรัฐสภา เข้าพบ นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ... เพื่อยื่นข้อเสนอต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565
โดยให้เน้นการใช้กัญชาทางการแพทย์ ไม่เปิดสันทนาการและห้ามขายกัญชาให้เด็กต่ำกว่า 20 ปี และกลุ่มเปราะบางรวมทั้งห้ามใช้กัญชาในสถานศึกษา สถานที่ราชการ และศาสนสถานอย่างเด็ดขาด, ห้ามไม่ให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชาผ่านเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติโดยเด็ดขาด เพื่อจำกัดการเข้าถึงและครอบคลุมอายุของผู้ซื้อ, ควรห้ามการโฆษณากัญชา กัญชง และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของกัญชา กัญชง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีวิธีการและเนื้อหาเชิญชวนเด็กและเยาวชนทั้งทางตรงและทางอ้อม
“เราไม่ได้ต่อต้านการใช้กัญชาทางการแพทย์ แต่ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการใช้กัญชาโดยทั่วไป เพราะทันทีที่การปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดมีผลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน เพียงวันแรกที่ปลดล็อกมีสินค้าหลายชนิดที่มีส่วนผสมจากัญชาวางจำหน่ายทั่วประเทศ มีคนที่เข้าถึงการใช้ถูกหามส่งโรงพยาบาลหลายราย
ในจำนวนคนเหล่านั้นคือเยาวชนอายุยังไม่ถึง 20 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางอย่างที่ทุกฝายกังวลกันตั้งแต่แรก” นางทิชา กล่าว
นางทิชา ย้ำว่า การอ้างว่าเพื่อผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จากกัญชาให้มากที่สุดแต่ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงฯ ที่หวังว่าจะออกมาควบคุมการใช้นั้นกลับพิจารณาไม่ทันการปลดล็อก เกิดเป็นสุญญากาศของการบังคับใช้กฎหมาย จนเกิดภาพของการใช้กัญชาโจ๋งครึ่มไร้การควบคุม เรื่องนี้รัฐสภาควรมองย้อนกลับไปในอดีตว่าเคยมีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่ที่ปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพไร้การควบคุมสิ่งที่ยังมีฤทธิ์เสพติด มีผลกระทบต่อสุขภาพ ถ้าได้คำตอบแล้วว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั่นก็สะท้อนถึงความอัปยศของรัฐสภาไทย
“ในประเทศไทยเรามีเด็ก เยาวชนที่หลงเข้าไปในวังวนอบายมุข หรือหลุมดำลึก ยากที่จะขึ้นมาได้ และไม่ใช่งานง่ายที่จะพาเขาเหล่านั้นขึ้นมา จึงอยากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ...ช่วยคิดด้วยว่าจะทำอย่างไรกับด้านมืดของกัญชา และด้านที่เป็นแสงสว่างของกัญชา เพราะกัญชาคือดาบ 2 คมที่คมกริบทั้ง 2 ด้าน จึงขอเรียกร้องให้การพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ ต้องไม่ทิ้งพวกเขาและจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีมาตรการรัดกุม ครอบคลุมทุกมติของปัญหาและผลกระทบที่จะตามมาจากที่ประกาศใช้กัญชา กัญชง” นางทิชา กล่าวในตอนท้าย
ภายหลังการรับมอบหนังสือ นายศุภชัย รับว่า จะนำข้อเสนอเหล่านี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาต่อไป เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวออกมาแล้ว ทำให้กัญชาสามารถใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดต่อประเทศไทย และต้องสร้างความมั่นใจว่ากฎหมายจะปกป้องประชาชน โดยจะมีการระบุชัดไว้ในกฎหมายว่าการจำหน่ายให้เยาวชนมีความผิด มีโทษทางอาญา รวมถึงปกป้องกลุ่มเปราะบาง ทั้งหญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคทางจิตเภท ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากกัญชา
“เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำมาในชีวิต เพราะจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในทางการแพทย์ ปกป้องคนที่ต้องปกป้อง และต่างประเทศเห็นกฎหมายนี้ออกมาแล้วสบายใจ เพราะ กมธ.ทุกคนคิดเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องเยาวชน ทุกคนก็ห่วงลูก ห่วงหลาน และผมก็ห่วงลูกห่วงหลานเช่นกัน จึงอยากให้ทุกคนร่วมกันเสนอแนะ แต่ขออย่างเดียวอย่ายืนอยู่นิ่งๆ แล้วด่า เพราะสภาฯ แห่งนี้ไม่ได้อัปยศ สส.ทำงานกันทุกวัน” นายศุภชัย กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายศุภชัย เคยย้ำมาตลอดถึงเหตุผลการปลดล็อกกัญชาเพื่อนำมาใช้ในทางการแพทย์ ไม่สนับสนุนให้นำมาใช้ในเชิงนันทนาการ ระหว่างที่รอ ร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ ทางฝั่งกระทรวงสาธารณสุขจึงมีการนำเอากฎหมายที่มีอยู่เข้ามาดูแล และหน่วยงานต่างๆ ทยอยออกมาแล้ว ที่สำคัญคือ “ห้ามสูบในที่สาธารณะ ห้ามขายให้เด็ก และสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ห้ามก่อความรำคาญ ตรงนี้ มีความผิด มีโทษปรับ ทั้งจำคุก”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะงัดกฎหมาย หรือประกาศต่างๆ ออกมา แต่ก็ยังเบาหวิว ที่ต้อง “อ้างเรื่องควันและกลิ่นเป็นเหตุรำคาญ” เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าไปดูแลตักเตือน ตลอดจนเอาผิดได้ ทำให้พบเห็นปรากฏการณ์ตั้ง มีผู้ตั้งโต๊ะขายกัญชามวน รวมถึงมีการสูบกัญชาตามท้องถนนอย่างสนุกสนาน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมดูแล เกิดเป็นคำถามตามมาว่าเป็นการ “ละเมิดสิทธิของผู้อื่นอยู่หรือไม่” เพราะแต่ละคนมีความไวต่อสารที่มีในกัญชาแตกต่างกัน ไหนจะผลกระทบจากการ “เมากัญชา” ดังนั้น“สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย” ของคนทั่วไป ที่ไม่ได้ต้องการกัญชามือสอง กัญชามือสามอยู่ตรงไหน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายศุภชัย ระบุว่า ได้ประสานตำรวจพื้นที่ปัญหา สอดส่องว่า มีการจำหน่ายในลักษณะที่ว่าหรือไม่ และขอให้ดูแลต้องไม่จำหน่ายให้บุคคลที่อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพราะมีโทษจำคุกทางคดีอาญา พร้อมจะส่งทีมลงไปตรวจตรา ความเรียบร้อยด้วย ถ้าหากพบการกระทำผิด เราจะใช้กระบวนการทางกฎหมายจัดการทันที อย่างที่ย้ำเสมอว่านโยบายของเรา เน้นเรื่องของการใช้รักษาโรค รักษาอาการเจ็บป่วยเป็นหลัก
ขอให้ผู้ที่ใช้ในเชิงสร้างความบันเทิง มองไปถึงผู้ที่ใช้เพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วย อย่าให้พฤติกรรมของท่าน ไปตัดโอกาสของผู้อื่น อย่าลืมว่า พ.ร.บ.กัญชา ยังอยู่ในการพิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม เนื้อหาข้างใน ต้องทำให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ถ้าท่านนำมามวนเป็นพันลำ แล้ววางขายกันแบบนี้ หรือถ้าทำในสิ่งที่ไม่ถูก ไม่ควร มันก็มีเหตุผลที่เราจะต้องร่างกฎหมาย ให้การควบคุมดูแลการใช้กัญชา เป็นไปอย่างเข้มข้น เพื่อดูแลการใช้อย่างเคร่งครัด แต่ถ้าท่านใช้กันอย่างเข้าใจ ใช้กันอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นไปตามคำแนะนำจากทางการ พระราชบัญญัติ ที่ออกมา ก็จะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้อง นักการเมือง พรรคการเมืองรัฐบาล รัฐสภา ต้องตระหนักถึงให้มากในการออกกฎหมายมาเพื่อให้สิทธิในการใช้กัญชาได้อย่างรัดกุม ไม่ไปกระทบสิทธิของผู้อื่น ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ กัญชาไม่ได้อ่อนโยนสำหรับทุกคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี