ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2520 ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจากตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ไปที่ว่าการอำเภอหนองเสือ เพื่อมารอเฝ้าฯรับเสด็จ และรอญาติที่มาเข้ารับพระราชทานเอกสารสิทธิในที่ดินจาก พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
หลังจากเฝ้ารออยู่ข้างนอกหลายชั่วโมง เกษตรกรกลุ่มหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารตราครุฑเล่มสีฟ้าข้างในมีเอกสารสิทธิสัญญาเช่าที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จำนวนที่ดินที่ระบุในสัญญาคือ 25 ไร่ แม้จะไม่ใช่จำนวนที่มากเมื่อเทียบกับยุคเฟื่องฟูของการเกษตรเชิงเดี่ยว แต่มันเป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนแรกที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจและดีใจมากพอที่จะเดินกลับบ้านได้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เอกสารนี้จึงเปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่าของครอบครัวที่วางอยู่บนหิ้งพระมาเป็นเวลากว่า 40 ปี
กล่าวกันว่า นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทย เพราะหลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 รัฐบาลก็ยังไม่สามารถดำเนินการปฏิรูปที่ดินได้ทันที ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่นาของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ทั้งหมดมีเนื้อที่ 51,967 ไร่ 95 ตารางวา ในพื้นที่ 8 จังหวัด คือ จังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก นครปฐม ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยาสุพรรณบุรี สระบุรี และจังหวัดเพชรบุรี พร้อมพระราชทานพระบรมราโชบาย 9 ข้อ ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมใช้เป็นแนวทางดำเนินการในระยะเริ่มแรก
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ มาพระราชทานเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินให้แก่เกษตรกร 2 ครั้ง คือ ครั้งแรก วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2520 ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดนครนายก และได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัสแก่เกษตรกร
“ทรงพอพระราชหฤทัยที่ได้ทราบว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้ดำเนินงานต่างๆ สำเร็จมาโดยลำดับ จนกระทั่งสามารถจัดให้มีการมอบเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินพระราชทานแก่เกษตรกรได้ในวาระนี้ ซึ่งทำให้ผู้ทรงเอกสารสิทธิมีสิทธิที่จะทำมาหากินในผืนดินเฉพาะแปลงที่กำหนดไว้ให้ ทั้งมีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาพื้นที่ที่ได้รับ ให้สามารถทำมาหากินสืบทอดกันต่อไปเป็นการถาวรในโครงการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่สมบูรณ์แบบ ผู้ได้รับมอบที่ดินสำหรับทำกิน พร้อมทั้งเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินนั้นอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว ควรจะถือว่าแต่ละคนมีภาระอย่างยิ่ง ที่จะดูแลรักษาและพัฒนาที่ดินของตนให้เกิดประโยชน์อย่างดีที่สุด ด้วยความตั้งใจจริง ขยันหมั่นเพียรและซื่อสัตย์สุจริต ทั้งต้องอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาปรองดองกันและยึดมั่นในสามัคคีให้มั่นคง โดยถือเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นจุดหมายสำคัญสูงสุดตามพระบรมราโชวาท เพื่อสามารถสร้างความสำเร็จให้แก่ตนเองและเพื่อสามารถรักษาแผ่นดินของเราไว้ให้มั่นคงตลอดไป”
และครั้งที่สอง วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2520 ได้เสด็จไปพระราชทานเอกสารสิทธิที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้ตรวจสอบสภาพพื้นที่และได้กันคืนพื้นที่บางส่วน คงเหลือพื้นที่ 44,369-0-39.70 ไร่ มอบให้ ส.ป.ก. ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันผืนดินพระราชทานในเขตปฏิรูปที่ดินมีอยู่ใน 5 จังหวัด คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 11,135-0-67 ไร่ จังหวัดปทุมธานี จำนวน 14,015-1-28.46 ไร่จังหวัดนครนายก จำนวน 3,542-49 ไร่ จังหวัดฉะเชิงเทราจำนวน 14,617-3-69 ไร่ และจังหวัดนครปฐม จำนวน 1,009-3-26 ไร่ รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมด 44,332-1-90.46 ไร่ มีเกษตรกรได้รับสิทธิในที่ดิน จำนวน 3,423 ครอบครัว
ส.ป.ก. ได้สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเส้นทาง และพัฒนาระบบชลประทาน แต่ในช่วงแรกของการปฏิรูปที่ดิน เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับการทำเกษตรเชิงเดี่ยว มีการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มและเร่งผลผลิต ใช้สารปราบศัตรูพืช เกษตรกรจึงประสบผลสำเร็จและสร้างรายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ในระยะยาวกลับมีปัญหาเรื่องผลผลิตล้นตลาด สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ดินเสื่อมคุณภาพ สุขภาพของเกษตรกรทรุดโทรมเพราะได้รับสารเคมี ราคาปุ๋ย และสารเคมีปราบศัตรูพืชสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ของเกษตรกรกลับลดลง
เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำกินได้อย่างยั่งยืนในผืนดินพระราชทาน ส.ป.ก. จึงได้น้อมนำพระบรมราโชบาย 9 ข้อ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่โคก หนอง นา โมเดล และหลักการทรงงาน มาพัฒนาด้านต่างๆ โดยเน้นการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดเพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร จึงได้มีการจัดตั้งนิคมเศรษฐกิจพอเพียงในเขตปฏิรูปที่ดิน จัดตั้งศูนย์จัดการที่ดินพระราชทานขึ้น
นอกจากนี้ มีการสร้างเครือข่ายเกษตรกร สร้างเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน สร้างเครือข่ายสหกรณ์ในผืนดินพระราชทานให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อการพัฒนาศักยภาพผืนดินทำกิน เพิ่มผลผลิต สร้างรายได้ ให้ความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้ และเข้าถึงโอกาสทางเลือกในการเปลี่ยนอาชีพควบคู่กับการสนับสนุนการตลาด และปัจจัยพื้นฐาน ช่วยทำให้เกษตรกรในโครงการที่ดินพระราชทาน มีความรู้ ความสามารถเพียงพอที่จะพึ่งตนเองตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ผลจากการพัฒนาเกษตรกรในรูปแบบต่างๆ ทั้งในรูปแบบการอบรมให้ความรู้ การพาไปดูงานในพื้นที่ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาการเกษตร ส่งผลให้เกษตรกรสามารถพัฒนาทักษะการทำเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภายใต้หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิต มีความมั่นคงในอาชีพมากขึ้น ในขณะที่เกษตรกรอีกส่วนหนึ่งพัฒนาและยกระดับตนเองขึ้นเป็นศูนย์เรียนรู้การเกษตรในโครงการที่ดินพระราชทาน
พร้อมกันนี้ ได้ขยายผลการพัฒนาไปสู่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต่อไป เช่น ศูนย์ปราชญ์เกษตรช้างใหญ่ ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, โครงการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านผู้ใหญ่โทน (นายเดชา ศรีโกศักดิ์) ตำบลหนามแดง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ในแต่ละปีมีเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินแวะเวียนเข้ามาเรียนรู้ดูงานในศูนย์เรียนรู้ฯ เป็นจำนวนมาก ศูนย์เรียนรู้การเกษตรในโครงการที่ดินพระราชทานจึงมีบทบาทสำคัญร่วมกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดในการเผยแพร่ให้ความรู้แก่เกษตรกร รวมไปถึงการพัฒนาและสร้างเกษตรกรต้นแบบเพื่อขยายผลการพัฒนาในระดับพื้นที่ต่อไป
ปัจจุบัน ส.ป.ก. ได้พัฒนาเกษตรกรในโครงการที่ดินพระราชทานไปแล้ว จำนวน 2,150 ราย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน จำนวน 14 แห่ง และสหกรณ์การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินจำนวน 7 แห่ง ก่อนการฝึกอบรมเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ย 208,516.85 บาท/ปี หลังการฝึกอบรมเกษตรกรสามารถเพิ่มรายได้จากการทำเกษตรถึงร้อยละ 11.18 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 23,303.72 บาท/ปี คือมีรายได้เฉลี่ย 231,820.57 บาท/ปี นอกจากนี้ยังช่วยให้เกษตรกรลดรายจ่ายในครัวเรือนได้ถึง 3,330.28 บาท/ปี หรือลดลงเฉลี่ยร้อยละ 2.80
การดำเนินการในปัจจุบัน ส.ป.ก. มุ่งเน้นพัฒนาเกษตรกรให้ทำการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกษตรกรมีความสุข อยู่ได้ อยู่ดี บนที่ดินพระราชทานตลอดไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี