ถ้าเอ่ยถึงเมืองเก่า หลายคนอาจนึกถึงอดีตเมืองหลวง หรือเมืองโบราณที่เคยรุ่งเรืองในอดีต หากที่ จ.สงขลา แม้ไม่เคยเป็นราชธานีมาก่อน แต่ก็ขึ้นชื่อเป็นเมืองเก่า ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาสำคัญยิ่ง และยังหลงเหลือร่องรอยให้ค้นหา สัมผัสอย่างตื่นตาตื่นใจ
หลักฐานระบุชัดว่า เป็นเมืองที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงผูกพัน โดยได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองสงขลาจากฝั่งแหลมสน มาที่ตำบลบ่อยาง ในปี พ.ศ.2379 เมื่อชาวเมืองและกองทัพได้ร่วมกันสร้างกำแพงเมือง ป้อมปราการ แล้วเสร็จใน พ.ศ.2385 ก็ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเสาหลักเมือง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เมืองสงขลา
รังษี รัตนปราการ นายกภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคม อธิบายว่า ภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคม ตั้งอยู่ในอาคารเก่าของโรงสีแดง หับ โห้ หิ้น เป็นองค์กรภาคประชาสังคม ที่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2552 โดยกลุ่มคนรักเมืองเก่าสงขลา ที่มีนักวิชาการท้องถิ่น ที่สำนึกต่อการอนุรักษ์เมืองเก่าสงขลา ในมิติด้านมรดกวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพราะพวกเขาตระหนักดีว่า แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน แต่เมืองเก่าสงขลา ยังคงความโดดเด่นทางผังเมือง และสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน เป็นทั้งแหล่งโบราณคดี จนถึงเมืองเก่าที่ยังมีชีวิตชีวาตั้งเรียงรายอยู่รอบปากอ่าวทะเลสาบสงขลา คู่กับภูมิปัญญาดั้งเดิมของ 3 กลุ่มชาติพันธุ์หลัก คือ ไทยพุทธไทยมุสลิม และไทยเชื้อสายจีน ที่ผ่านมาจึงได้ร่วมกันผลักดันให้เป็นเมืองมรดกโลก
ทุกวันนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนเมืองเก่า ไม่เพียงแค่ถ่ายรูป ชื่นชมสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม วิถีชีวิต ภูมิปัญญาเท่านั้น ในด้านอาหารการกินก็มีทางเลือกเพื่อสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะร้านกาแฟ ที่ร่วมเป็นเครือข่ายภาคีคนรักเมืองสงขลา ได้เข้าร่วมเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน
ด้วยมีการจัดเมนูหวานน้อยสั่งได้ ซึ่งร้านเหล่านี้กระจายตัวอยู่บนถนนสายหลักของเมืองเก่า เช่น ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม
ปีรัชด์ อนันตพันธ์ เจ้าของร้าน Studio 55 เล่าว่า ส่วนตัวเป็นคนใส่ใจเรื่องสุขภาพและน้ำตาลอยู่แล้ว พอภาคีคนรักเมืองสงขลามาชวนร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ก็เลยคิดว่าเป็นตัวเรา จึงตัดสินใจเข้าร่วม และตอนนี้ทุกเมนูในร้านสามารถปรับลดความหวานได้ ซึ่งนอกจากกาแฟแล้วยังมีชาและน้ำผลไม้ ส่วนเค้กก็ตั้งใจทำแบบโลว์ซูการ์ ใช้น้ำตาลจากลูกอินทผลัมหรือน้ำตาลโตนด และมีป้ายหวานน้อยสั่งได้ ที่ทำให้ลูกค้ารู้ว่าจะลดน้ำตาลลงระดับไหน
“อย่างไรก็ตามของหวานไม่ใช่ไม่มีประโยชน์เลย มีประโยชน์เมื่อกินในปริมาณที่เหมาะสม และนอกเหนือจากการกินของหวานทุกวันแล้วเราควรทราบว่าแต่ละวัน เมื่อดื่มกาแฟเข้าไปด้วยเรารับน้ำตาลเข้าไปเท่าไหร่แล้ว ให้พยายามลดน้ำตาลลงในแต่ละวัน ลิ้นของเราก็จะชินไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกอร่อยโดยไม่ต้องปรุงแต่งมาก” ปีรัชด์ กล่าว
ด้าน ธีระพล วานิชชัง เจ้าของร้านกาแฟ Dot บอกว่า การดื่มกาแฟคือความสุนทรีย์ ดื่มแล้วควรมีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ไม่ใช่เพิ่มโรคภัยจากความหวานที่เกินพอดี ซึ่งเมื่อลูกค้าเข้าร้านก็จะให้ทดลองดื่มกาแฟที่มาจากหลากหลายพื้นที่ และไม่ได้ผสมน้ำตาล เมื่อลูกค้าชื่นชอบรสชาติไหน ก็จะเลือกกาแฟชนิดนั้น ส่วนใหญ่คอกาแฟไม่ดื่มรสหวานอยู่แล้ว หรือต้องการความหวานระดับใดก็สั่งได้ตามความชอบ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสมทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และผู้จัดการเครือข่ายรณรงค์เด็กไทยไม่กินหวาน เล่าว่าสงขลาเป็นเครือข่ายของเด็กไทยไม่กินหวาน และเครือข่ายภาคีคนรักเมืองสงขลา มีการรวมตัวของคนท้องถิ่นทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการในมหาวิทยาลัยครูบาอาจารย์ในโรงเรียน เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ความเป็นเมืองเก่าไว้
สิ่งที่เป็นเสน่ห์คือมีการพูดถึงร้านอาหารทั้งที่เป็นร้านอาหารดั้งเดิม ร้านอาหารเจ้าอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านกาแฟที่มีเยอะมาก ทั้งฝั่งนครนอกและนครใน จึงคิดว่าร้านกาแฟเหล่านี้อยู่ในเครือข่ายภาคีคนรักสงขลาแล้ว ถ้าเป็นไปได้ทางเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานก็อยากร่วมทำงานด้วย เพราะมีเป้าหมายดูเรื่องน้ำตาลเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น
ทพญ.ปิยะดา กล่าวว่า กลุ่มภาคีคนรักสงขลาเขามองเรื่องวัฒนธรรม อนุรักษ์เมืองเก่า ทำให้เป็นเมืองสุขภาพ เอื้อต่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับที่เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานทำอยู่ ในประเด็นของการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านอาหาร จึงมีการพูดคุยกันและทยอยทำกิจกรรมร่วมกันเชิงบูรณาการครบทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม คนท้องถิ่น คนเก่าเล่าเรื่อง ภาพเมืองเก่าดั้งเดิม และถ้าทำได้ดี ก็จะเป็นตัวอย่างสำหรับพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
จากการศึกษาของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานพบว่าคนไทยตั้งแต่เด็กได้รับน้ำตาลจากเครื่องดื่มในปริมาณมาก เริ่มแรกเราก็พยายามทำให้คนดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยลง มีการดำเนินการเรื่องภาษีสำหรับเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งได้ขึ้นภาษีไปตั้งแต่ปี 2564 และตอนนี้เหลืออีกก้าวเดียว คือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลจะถูกเก็บภาษีเต็มที่ ทีนี้การที่เราบอกจะขึ้นภาษี คนก็หนีไปดื่มกาแฟในร้านต่างๆ ที่เป็นลักษณะร้านกาแฟชง เราจึงต้องทำงานคู่ขนานเพื่อให้มีร้านกาแฟทางเลือกสำหรับประชาชน และการที่เครือข่ายทำงานกับกลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่ด้วย เพราะผู้ใหญ่คือคนกำหนดสังคม
“เราอยากให้เด็กอยู่ในสังคมที่เอื้อต่อสุขภาพของเขา อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีร้านอาหารร้านเครื่องดื่มที่ดูแลสุขภาพ ลดน้ำตาล เด็กจะสั่งตามผู้ใหญ่ก่อน ประกอบกับตอนนี้กาแฟคือค่านิยมของคนไทย ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีเด็กระดับประถมปลายและมัธยมเข้าไปนั่งในร้านกาแฟบ้างแล้ว การเป็นเครือข่ายร่วมทำงานด้วยกันจึงถือว่าได้ทั้งคู่ ร้านกาแฟจะมีเมนูเพื่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าเด็กคนทำงานหรือผู้สูงอายุหากจะสั่งก็สามารถสั่งให้มีน้ำตาลน้อยลงได้ ทำให้ลิ้นไม่ติดรสชาติหวานมากเกินไปและไม่เสี่ยงต่อภาวะอ้วน หรือโรค NCD เช่นเบาหวาน” ผจก.เครือข่ายรณรงค์เด็กไทยไม่กินหวานอธิบายย้ำ
เบื้องต้น จึงหวังว่าเวลาที่คนสั่งกาแฟ อยากให้คำว่าลดน้ำตาลหรือลดหวานกลายเป็นคำติดปาก ตอนนี้ผู้ขายส่วนใหญ่จะถามลูกค้าว่า“อ่อนหวานไหม” แต่เป้าหมายคือกระตุ้นให้ผู้บริโภคสั่งลดหวานเองอัตโนมัติ ซึ่งเกือบ 10 ปีที่เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานได้เริ่มทำกิจกรรม จากร้านกาแฟเล็กๆ 2-3 ร้าน ตอนนี้มีเครือข่ายร้านกาแฟอ่อนหวานทั่วประเทศมากกว่า 1,000 ร้าน
พร้อมกันนี้ อยากให้ร้านกาแฟหรือร้านเครื่องดื่มที่ส่งผ่านช่องทางเดลิเวอรี่ช่วยเพิ่มรายการให้ผู้สั่งเลือกได้ว่าหวานระดับไหน กี่เปอร์เซ็นต์ ทำเป็นตัวเลือกให้เช็ค เพราะจากการเก็บข้อมูลในพื้นที่และรายงานจากร้านค้า ส่วนใหญ่จะเว้นเป็นช่องว่างให้เติม ลูกค้าไม่อยากเขียนเติมก็ปล่อยผ่าน แต่ในกลุ่มที่ทำเป็นช่องให้เลือกจะมีลูกค้าเลือกเข้ามามากกว่า
สำหรับแผนที่ท่องเที่ยวของหรอยบ่อยางที่มีสัญลักษณ์มดน้อยหน่อย เป็นเครื่องหมายแสดงถึงร้านกาแฟอ่อนหวาน สื่อถึงการให้ความสำคัญกับการลดการบริโภคน้ำตาลของนักท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่าสงขลา ซึ่งตอนนี้มีร้านกาแฟที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 9 ร้าน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำตาลเป็นที่มาของโรค NCDs
“กาแฟอ่อนหวาน”จึงเป็นคำตอบของนักท่องเที่ยวรักสุขภาพ ที่เป็นความร่วมมือของภาคีคนรักเมืองสงขลาและเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานในครั้งนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี