การวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนสังคมเป็นเรื่องที่หลายประเทศทั่วโลกส่งเสริมให้เป็น ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนา ด้วยความสําคัญของชุมชนท้องถิ่นในฐานะเป็นหน่วยของ การจัดระเบียบสังคม (Community as a Social System Unit) และการเป็นรากฐานที่สําคัญ ของประชาสังคม (Civil Society) ความเข้มแข็งของชุมชนจึงเป็นกลไกที่สําคัญอย่างยิ่งบนฐานความเข้มแข็งของชุมชนขนาดเล็กหลายชุมชนรวมกันจะสามารถฟื้นฟูสังคมในภาพรวมให้ดีขึ้นผ่านการพึ่งพาตนเองของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน และสอดคล้องกับนิเวศวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น
โดยที่การพัฒนาจะต้องมุ่งตอบโจทย์หรือคําถามที่ชุมชนต้องการ ช่วยหาทางออกในการแก้ปัญหา และที่สําคัญคือสร้างโอกาสให้ชุมชนทบทวนศักยภาพหรือทุนเดิมที่เป็นองค์ความรู้ที่อยู่คู่กับชุมชน นําไปผสมผสานกับความรู้ใหม่ในการแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนา บนหลักการที่ว่า ชุมชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้ความรู้นั้นๆ ผ่านกระบวนการกลุ่มบนฐานความจริงในปัจจุบัน มากกว่าการพึ่งพาความรู้จากภายนอกเพียงอย่างเดียว
สําหรับประเทศไทย การพัฒนาองค์ความรู้ในชุมชนท้องถิ่นที่ผ่านมามุ่งเน้นการผลักดันนโยบายการพัฒนาในลักษณะของ Top - Down จากภาครัฐ และการถอด องค์ความรู้การพัฒนาระบบเกษตรกรรมเพื่อขยายผลในระดับพื้นที่ ตลอดจนการยกระดับให้เป็นชุดความรู้และเผยแพร่สู่สังคม มากกว่าการทําวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นเชิงประจักษ์เพื่อมุ่งต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติในระดับท้องถิ่นหรือชุมชนได้จริง ส่งผลให้การพัฒนาชุมชนที่ได้ดําเนินการมาเป็นระยะเวลายาวนานของประเทศไทย กลับไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาในชุมชนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม ภาพของชุมชนที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองและเป็นเพียงผู้ที่รอรับความช่วยเหลือไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย แต่กลับพบว่ายิ่งช่วยเหลือหรือยิ่งพัฒนา ชุมชนกลับยิ่งอ่อนแอ และต้องพึ่งพารัฐมากขึ้น
จากข้อมูลดังกล่าวภาครัฐจึงจําเป็นต้องทบทวนบทบาทการ พัฒนาชุมชนท้องถิ่นจากผู้สั่งการมาเป็นผู้สนับสนุนการค้นหาศักยภาพและการพัฒนา โดยให้ความสําคัญกับภูมิปัญญาของชุมชน สอดคล้องกับการศึกษาเรื่องชุมชนเข้มแข็งในทัศนะของชาวชุมชน กรณีศึกษาบ้านปลายคลองบางโพธิ์เหนือ หมู่ที่ 3 ตําบลบางโพธิ์เหนือ อําเภอสามโคกจังหวัดปทุมธานี ที่เสนอว่า การสร้างชุมชนเข้มแข็งควรมีการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนมาสร้างประโยชน์ในทุกมิติ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม โดยมีภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนตามหลักการพึ่งพาตนเอง
ด้วยความสําคัญของการวิจัยเพื่อชุมชนสังคม ผนวกกับการที่การพัฒนาชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของงานในความรับผิดชอบกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ด้วยเหตุผลว่าความเข้มแข็งของชุมชนเป็นประเด็นความมั่นคงที่มีผลต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ในภาพรวม นํามาสู่การจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ ระหว่าง กอ.รมน. และ สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการนําองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมของ วช. ไปถ่ายทอดสู่ศูนย์เรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลของเครือข่ายปราชญ์เพื่อความมั่นคง ซึ่งเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ที่ กอ.รมน. ให้การสนับสนุนอยู่เดิม เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งและคุณภาพชีวิตให้คนในชุมชนมีความกินดีอยู่ดี ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง ในทุกมิติ จากความต้องการของชุมชน
และคาดหวังว่าองค์ความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมโดยการสนับสนุนของภาครัฐ จะทําให้ชุมชนสามารถยกระดับศักยภาพความเข้มแข็ง และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้คนในชุมชน มีความกินดีอยู่ดีตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา กอ.รมน. ร่วมกับ วช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการใช้ประโยชน์องค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ : ชุมชนเข้มแข็ง ด้วยวิจัยและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ประโยชน์ องค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการบูรณาการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาชุมชนสังคมในพื้นที่ของ กอ.รมน.อันเป็นฐานรากของการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ณ อาคารรื่นฤดี กอ.รมน. เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
พล.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กล่าวว่า กอ.รมน. เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นองค์กรหลักในการบูรณาการอำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และกำกับดูแลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ พร้อมทั้งดำเนินการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนัก ในหน้าที่ที่จะเทิดทูน พิทักษ์และรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยการน้อมนำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึงพัฒนา” และ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักในการดำเนินงานโดยมีกลไกโครงสร้างของส่วนบริหาร ส่วนอำนวยการส่วนประสานงานและส่วนปฏิบัติงานในพื้นที่ สร้างพลังสังคม พลังชุมชน นวัตกรรมชุมชน นวัตกรรมสังคมเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวสู่ข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บนพื้นฐานความรู้ด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. มุ่งหวังเป็นกลไกหนึ่งในการร่วมปฏิบัติพัฒนานำองค์ความรู้และนวัตกรรมไปพัฒนาประเทศ ตามเจตจำนงของรัฐบาลในการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก สร้างพลังสังคม พลังชุมชน นวัตกรรมชุมชน นวัตกรรมสังคมเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยเห็นความสำคัญของการร่วมมือกับ กอ.รมน.หน่วยงานภาคความมั่นคงที่ร่วมสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของรัฐ ความมั่นคงทางสังคม ความมั่นคงแบบพิเศษ ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พลังงาน และอาหารรวมถึงความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือในระยะแรก
นับเป็นความร่วมมืออันดีในการส่งต่อองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมสู่พื้นที่ชุมชน สู่ศูนย์เรียนรู้ ของเครือข่ายปราชญ์เพื่อความมั่นคง นำองค์ความรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ของ กอ.รมน. ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็งบนฐานความรู้ ด้านการวิจัยและนวัตกรรม และการก้าวเข้าสู่การดำเนินงานระยะที่ 2 ของความร่วมมือนี้ วช. และภาคส่วนวิจัย พร้อมร่วมดำเนินการกับ กอ.รมน. ในการพัฒนาเชิงพื้นที่ ด้วยวิจัยและนวัตกรรม ในการนำองค์ความรู้ไปพัฒนากระบวนการผลผลิต การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาสังคม การพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงานให้แก่ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ของ กอ.รมน. ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็งและมีความยั่งยืน อันนับเป็นการส่งเสริมการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนและชุมชนฐานรากของประเทศได้อย่างยั่งยืนด้วยวิจัยและนวัตกรรม
สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2562 ซึ่งจะครบกำหนดสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 27สิงหาคม 2565 ที่จะถึงนี้ โดยการดำเนินงานที่ผ่านมาได้มีการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีต้นแบบเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย จนสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายในงานมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรม จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่น
พร้อมกันนี้ ได้มีพิธีมอบรางวัลให้กับชุมชนต้นแบบที่บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำนวน 7 ชุมชน รางวัลชุมชนดีเด่น ได้แก่ พาราโบลาโดม จากวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรเกษตรอินทรีย์บ้านดงบัง, นวัตกรรมเครื่องผ่าไม้และจักตอกแบบเลาะข้อ จากชุมชนบ้านทุ่งนาค จ.สุรินทร์, เครื่องอบแห้งอินฟราเรดเทคโนโลยีการผลิตข้าวฮางงอก จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนบ้านไผ่เขียว จ.อุตรดิตถ์ และ นวัตกรรมระบบผลิตผักและปุ๋ยหมัก จากชุมชนบ้านโหนดหมู่ จ.พัทลุง ส่วนรางวัลชมเชย ได้แก่ เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ จากวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถียั่งยืนบ้านบางแตน จ.ปราจีนบุรี, ระบบการผลิตผักและข้าวโพดฝักสด จากกลุ่มเกษตรกรสมาชิกศูนย์ส่งเสริมการเกษตรครบวงจรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง จ.สระแก้ว และเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ จากชุมชนบ้านวังช้าง จ.ชุมพร
ความร่วมมือดังกล่าวสอดคล้องตามพันธกิจของ กอ.รมน. ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เสริมสร้างความมั่นคงของรัฐ ด้วยการสร้างเสริมศักยภาพชุมชนสร้างเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ อันจะนำไปสู่การสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และ
ยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นให้ดีขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ชาติอย่างเป็นรูปธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี