หนึ่งในปัญหาปากท้องเกษตรกรที่ยังค้างคาและปรากฏเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่องคือ ความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศกว่าหลายหมื่นครอบครัวจากภาคอีสาน ภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ ที่ต้องขาดรายได้เพราะการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้บังคับของกระทรวงการคลังลดโควตารับซื้อใบยาเป็นเวลาต่อเนื่องติดต่อกันมา 4 ปี นับตั้งแต่มีการประกาศใช้อัตราภาษียาสูบใหม่เมื่อปี 2560
จะไม่เดือดร้อนได้อย่างไร ในเมื่อการปลูกยาสูบเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชาวไร่ คนในครอบครัว และผู้ที่เกี่ยวข้องรวมๆ กว่าแสนคนมาตลอดกว่าครึ่งทศวรรษ เมื่อเทียบกับการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ในพื้นที่ที่เท่ากัน เช่น ข้าว หรือข้าวโพด การปลูกพืชยาสูบในแต่ละปีนั้นถือว่าช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับกลุ่มเกษตรกรที่ทำมาหากินแบบพึ่งฟ้าพลอยฝน เพราะมีการกำหนดโควตารับซื้อและการประกาศราคาที่ชัดเจนก่อนเริ่มฤดูกาลปลูก
การที่ ยสท. ลดโควตารับซื้อใบยาจากชาวไร่ลงประมาณร้อยละ 50 ต่อปี เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกันมาแล้วนั่น จึงเท่ากับรายได้ของครอบครัวและเม็ดเงินหมุนเวียนของชุมชนหายไปกว่าครึ่งเช่นเดียวกัน
แม้จะเพิ่งได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลวงเงิน 160 ล้านบาท เพื่อชดเชยผลกระทบจากการขาดรายได้จากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการ ยสท. ฤดูกาลผลิต 2562/2563 เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากที่เรียกร้องรอคอยกันมานานกว่า 2 ปี แต่ดูท่าว่าวิบากกรรมและรอยน้ำตาของชาวไร่ยาสูบก็จะยังไม่หมดไป
เพราะ ยสท. ยังคงประสบปัญหายอดขายที่ลดลง เนื่องจากการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ ทำให้ปริมาณความต้องการใบยาลดลงด้วย ทำให้ ยสท. มีแผนจะลดการรับซื้อใบยาลงอีกร้อยละ 25 สำหรับฤดูกาลผลิต 2565/66 ที่จะถึงนี้ ทำให้โควตาใบยาพันธุ์เวอร์จิเนียถูกลดลงไปกว่าร้อยละ 56 นอกจากนี้ ค่าแรงงาน ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง รวมไปถึงค่าน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนการปลูกใบยาของชาวไร่เพิ่มขึ้นมาก แต่ราคารับซื้อของ ยสท. ยังคงเท่าเดิม ทำให้ชาวไร่ยาสูบไม่สามารถดำเนินการเพาะปลูกยาสูบต่อไปได้
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวแทนชาวไร่ยาสูบสายพันธุ์เวอร์จิเนีย จาก 6 จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ น่าน และพะเยา) กว่า 1,200 คน จึงได้รวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผ่านศูนย์ดำรงธรรมในแต่ละจังหวัด เพื่อขอให้ช่วยเหลือจากปัญหาต้นทุนการผลิตใบยาสูบที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยการทบทวนราคาใบยาใหม่ให้สะท้อนต้นทุนจริง และชะลอการลดโควตารับซื้อใบยาพันธุ์เวอร์จิเนียสำหรับฤดูกาลผลิต 2565/66
นายกิตติทัศน์ ผาทอง ตัวแทนสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ.เชียงราย กล่าวว่า “ชาวไร่และผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 1 หมื่นคนกำลังเดือดร้อนจากต้นทุนปัจจัยการผลิตยาสูบ เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่าไฟฟ้า ค่าฟืน และค่าแรงงานเพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 60 แต่ราคารับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทยไม่ได้ปรับขึ้นให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงเลย ราคารับซื้อใบยาของ ยสท. ในปัจจุบันใช้มาเกือบ 10 ปีแล้ว หาก ยสท. ยังยืนยันจะใช้ราคาเดิม ชาวไร่และผู้บ่มฯ ก็ไม่สามารถปลูกใบยาสูบและประกอบอาชีพต่อไปได้ จึงอยากขอให้ รมต. คลังช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
การปลูกและบ่มใบยาพันธุ์เวอร์จิเนียในพื้นที่ภาคเหนือเป็นอาชีพท้องถิ่นที่ทำต่อเนื่องกันมาตลอดกว่า60 ปี แต่ละปีมีผลผลิตใบยาประมาณ 10 ล้านกิโลกรัมส่งขายให้กับ ยสท. สร้างรายได้ให้ท้องถิ่นรวม 1,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 30,000 บาทต่อครอบครัว
ด้าน นายอรุณ โปธิตา ตัวแทนสมาคมพัฒนาชาวไร่บ่มเอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งไปร่วมยื่นหนังสือกับตัวแทนชาวไร่จังหวัดเชียงใหม่ 200 คน หน้าศูนย์ดำรงธรรม
จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ชาวไร่ยาสูบ ชาวไร่มีต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าฟืน ค่าแรงงาน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการทำยาแห้งสูงขึ้นกิโลกรัมละ 10-15 บาท แต่ ยสท. จะช่วยเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง และผลักภาระให้ชาวไร่แบกรับต้นทุนเองอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งเท่ากับชาวไร่ต้องขายใบยาในราคาที่ขาดทุน จึงอยากให้ ยสท. ช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ตามความเป็นจริง เพื่อให้สะท้อนต้นทุนในการทำไร่ยาสูบ”
“ในรายงานประจำปีล่าสุดของ ยสท. เขียนไว้สวยหรูว่า เป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน อยากให้ ยสท. ดูแลชาวไร่ยาสูบให้ดีกว่านี้”
ด้าน นางศุภนิมิต เหล่าอารยะ นายกสมาคมผู้บ่ม ผู้เพาะปลูก และผู้ค้าใบยาสูบ จ.น่าน ซึ่งนำชาวไร่ที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ กว่า 200 คน ไปยื่นหนังสือ ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน เผยว่าภาครัฐได้รับประโยชน์จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็นจำนวนมากกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปี และภาครัฐโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้กำกับดูแล ยสท. ซึ่งเป็นผู้รับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ทั่วประเทศ เป็นผู้มีอำนาจโดยตรงในการสั่งการดูแลชาวไร่ได้ หากราคารับซื้อของ ยสท. ยังเท่าเดิม และมีการลดโควตาลงอีก ชาวไร่คงทำอาชีพต่อไปไม่ได้แน่ๆ
นายปรัชญา กันธาธรรม ตัวแทนชาวไร่ยาสูบ จ.แพร่ กล่าวว่า อยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นใจเกษตรกร ผ่อนผันการลดปริมาณรับซื้อใบยาสูบ เพื่อต่อลมหายใจให้กับเกษตรกรในช่วงที่เศรษฐกิจยังตกต่ำ ในเดือนมิถุนายนต้องเริ่มเพาะกล้ายาสูบแล้ว ซึ่งขณะนี้ถ้ายังไม่มีคำตอบเรื่องการชะลอการตัดโควตาและการขึ้นราคารับซื้อใบยาแห้ง เกษตรกรจะเตรียมตัวไม่ทันอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้
เช่นเดียวกับตัวแทนชาวไร่ยาสูบสายพันธุ์เบอร์เลย์ จาก จ.เพชรบูรณ์ และ จ.สุโขทัย และชาวไร่ยาสูบสายพันธุ์เตอร์กิซ จ.ร้อยเอ็ด ที่ต่างก็เดินทางไปยื่นหนังสือยังศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่ของตนเอง เพื่อขอให้ช่วยเหลือเรื่องต้นทุนการผลิตยาสูบที่เพิ่มสูงขึ้นและปัญหาเรื่องโควตารับซื้อของ ยสท. ในฤดูกาลผลิต 2565-2566 เช่นเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี