สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) จัดงาน “วันคล้ายวันสถาปนาวช. ครบรอบ 63 ปี” ระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2565 ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากการวิจัยและนวัตกรรมเห็นถึงบทบาทและความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาให้มีการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจที่ วช. ปฏิบัติมาตลอด 63 ปี
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมทั้งได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ชีวิต คือ โอกาส” ว่า การที่เรามองว่าชีวิต คือปัญหาหรือเป็นโอกาสนั้น ไม่ใช่เรื่องของข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการปรุงแต่งทางอารมณ์ว่าจะใช้ความคิดเห็นส่วนตัวมาปรุงแต่งอย่างไรให้เห็นว่าเป็นโอกาสหรือเป็นปัญหา ซึ่งปัจจุบันมีการพูดกันมากว่า เราจะสร้างคนไทยให้เป็นคนที่มีทักษะอย่างไร โดยในระดับอุดมศึกษาจะพูดถึงการผลิตบัณฑิตที่ไม่ใช่มีแค่ความรู้อย่างเดียว แต่ต้องมีทักษะด้วยหรือที่เรียกกันว่า ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
“ผมคิดว่าทักษะในการเห็นชีวิต คือ โอกาส เป็นทักษะที่สำคัญมากและควรจะต้องสร้างวิทยาศาสตร์ ซึ่งเดิมเน้นว่าการคิดที่ดีที่สุดคือการคิดที่ไม่ใช้อารมณ์ แต่โดยหลักความเป็นจริงแล้วการคิดจะมีอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ซึ่งหากมีอารมณ์ที่เหมาะสมเห็นว่าคือโอกาส จะทำให้สามารถคิด วิเคราะห์แบบไม่มีปัญหา ทำให้เกิดกำลังใจ ดังนั้นทักษะเกี่ยวกับชีวิตจึงสำคัญที่สุด ซึ่งเราควรจะต้องมีทักษะในการที่จะเห็นชีวิตการงาน คือ โอกาส ซึ่งในทางจิตวิทยาเขาเรียก Positive Thinking ด้วย”
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าวอีกว่า คนทั่วไปอาจจะคิดในแง่ลบว่าประเทศไทยมีปัญหา สู้ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ แต่ในช่วง 63 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงานการวิจัยแห่งชาติขึ้นมา ก็มีการพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากประเทศที่ยากจนมาสู่ประเทศรายได้ปานกลาง และขั้นต่อไปจะเรียกว่าประเทศรายได้สูง เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ โดยในส่วนของงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากที่เคยนำเข้าความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปต่างประเทศได้แล้ว และได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้าน ถึงความเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งด้านการเกษตร ซึ่งเราควรที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และจะต้องมียุทธศาสตร์ ในการเอาชนะประเทศที่พร้อมมากกว่าเราในหลายๆ ด้าน
โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและกำลังจะพัฒนาแล้วในอีก 10 กว่าปีข้างหน้าตามแผนที่วางไว้ เราจึงต้องพยายามดำเนินการให้บรรลุความสำเร็จนั้นให้ได้
ทั้งนี้ในส่วนของการปฏิรูปการอุดมศึกษา สิ่งที่คิดว่าเรายังขาดก็คือ การปฏิรูปอุดมศึกษาที่จะสร้างทักษะด้วยการเห็นชีวิตคือโอกาส หรือ Positive Thinking และการทำเรื่องความเชี่ยวชาญ (expertise) ที่ผสมผสานภูมิปัญญา (wisdom) ซึ่งการปฏิรูปอุดมศึกษาที่ผ่านมาจะเน้นเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็นหลักส่งผล
ให้ได้คนที่มีความรู้แต่ขาดหลักคิด และสุดท้ายจะต้องปลูกฝังความเชื่อและความศรัทธา ให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักวิชาการ ซึ่งล้วนแต่ต้องการมุมมองที่จะมองให้เห็นว่าชีวิตคือโอกาส ภูมิใจในสิ่งที่ทำ และใช้โอกาสนี้ต่อไปให้ดีที่สุด
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายปาฐกถาพิเศษเรื่อง “วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม : อดีต ปัจจุบัน อนาคต” ว่า นับจากวันก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน วช.มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นหน่วยงานด้านนโยบายในการจัดกรอบวงเงินการติดตามเพื่อให้มีการนำผลงานวิจัยนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จนถึงปัจจุบันระบบวิจัยมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก และส่งผลให้เกิดงานวิจัยในหลายด้าน ด้านการเกษตรที่ช่วยเพิ่มผลผลิต จนสามารถส่งออกสินค้าเกษตรได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่กระนั้นผลตอบแทนที่เราได้มากลับยังไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่เขาส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทย เขาสามารถขายสินค้าได้ในมูลค่าที่สูง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มมูลค่าการขายสินค้าก็ต้องวางแผนการดำเนินการ คือ 1) ต้องร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้นตั้งแต่ระดับนักวิจัย เพราะปัจจุบันการใช้ความรู้ ใช้งานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความรู้จากศาสตร์หลายแขนง เราจึงต้องการความร่วมมือในการวิจัย ความร่วมมือจากนักวิจัยต่างสถาบัน แต่ที่ผ่านมาเป็นไปได้ยากเพราะมีกำแพงระหว่างสถาบัน ระบบการประเมินของสถาบันการศึกษายังเป็นระบบแบ่งแยก การทำงานข้ามสถาบันจึงถูกวัดว่าเป็นผลการดำเนินงานของสถาบันนั้นๆ สิ่งที่เราต้องการทลายคือกำแพงของสถาบัน
2) ความร่วมมือแบบที่สอง ปัจจุบัน หน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัย จะขึ้นตรงกับสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสภาฯ แต่ปัจจุบันรองนายกฯ เป็นผู้รับหน้าที่ จึงขอฝากไปถึงนายกฯ คนต่อไป หรือคนเดิม แต่เป็นรุ่นต่อไปว่า
ถ้าเห็นความสำคัญของงานวิจัย นายกฯ ต้องลงมากำกับเอง นี่คือสิ่งที่คนวิจัยอยากต้องการ และทุกรัฐมนตรี ทุกประธานบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานด้านการวิจัยก็ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน เพราะฉะนั้น เป้าหมายหรือนโยบายที่เราอยากได้จากงานวิจัยก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3) ความร่วมมือแบบที่สาม เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่ให้ทุน หรือ Funding Agency เพราะเมื่อถึงเวลาจะนำผลงานการวิจัยไปถ่ายทอด ความเป็นเจ้าของมันเกิด การจะนำไปถ่ายทอดได้จำเป็นจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกฎหมาย ซึ่งได้มีการแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว
4) ความเปลี่ยนแปลงแบบที่ 4 คือ เรื่องการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา คือ ให้ทรัพย์สินทางปัญญาตกเป็นทรัพย์สินของผู้วิจัย ส่วนการนำไปใช้ประโยชน์ก็จะมีกระบวนการทำงานแตกต่างกันไปขึ้นกับว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เพื่อประชาสังคม หรือนำไปผลิตเป็นสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นเรื่องของภาคเอกชนและภาคการผผลิต เรื่องในลักษณะนี้ก็ต้องค่อยทำงานร่วมกันไปเรื่อยๆ
5) ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ จุดที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งหมายถึงทั้งหน่วยภาคทางด้านอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ รวมทั้งภาคเอกชน ในเชิงที่เป็นประชาสังคม ภาคชุมชนด้วย นี่คือสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นและเกิดการยอมรับมากขึ้น เพราะที่จริงแล้วเอกชนก็สามารถใช้เงินภาครัฐได้
นี่คือสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ จึงต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาระเบียบการใช้จ่ายเงินของภาครัฐให้มีความคล่องตัวมากขึ้นโดยปรับเป็นกองทุนเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในเรื่องการใช้เงิน
“สิ่งที่ต้องการให้นักวิจัย นักวิชาการ หรือนักบริหารงานวิจัยเปลี่ยนแปลง คือเรื่องของความเชื่อ จะต้องเชื่อว่า ความรู้สร้างทรัพย์สินได้ ต้องเชื่อว่าคนไทยนั้นก็สร้างได้ และต้องเชื่อในงานของคนไทย ต้องทำให้คนเชื่อได้ว่า เวลาทำวิจัยต้องให้ได้มาตรฐาน และถูกควบคุมด้วยกฎ ระเบียบ ที่ได้มาตรฐานที่เป็นสากล สิ่งที่จะขับเคลื่อนต่อไปซึ่งนอกเหนือจากแวดวงวิจัย ก็คือวงการของอาชีพการทำงานของนักวิจัย เริ่มตั้งแต่สายอาจารย์ที่บอกว่าการทำงานวิจัยในปลายทางเพื่อให้ได้ผลผลิตมา แต่ไม่ถูกนับเป็นผลผลิต ก็นับแต่เรื่องของ Paper Public Relations คือการตีพิมพ์ผลงานวิชาการ ก็พยายามปรับให้ตรงกับความต้องการ เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ประเทศชาติ” ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร กล่าว
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติกล่าวว่า หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยวางรากฐานและสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อให้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจ และการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในทุกมิติ ตลอด 63 ปีที่ผ่านมา วช. ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรม “วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติครบรอบ 63 ปี” จึงจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม” ซึ่ง วช. ยังคงให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ความก้าวหน้าของงานวิจัยของไทย การนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน
สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย ภาคการประชุมสัมมนาในประเด็นสำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศด้วยวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานวิจัยเพื่อยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน งานวิจัยเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน การฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่ประชาชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อาทิ พื้นฐานการปลูกผักในดินและการประยุกต์สู่การปลูกผักในเมือง การแปรรูปและเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากโครงการปลูกผักในเมือง ระบบบำบัดน้ำเสียชนิดบึงประดิษฐ์สำหรับบ้านพักอาศัย และในส่วนของภาคนิทรรศการ ตลอดทั้งตลาดนัดงานวิจัย และนิทรรศการให้ความรู้และผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยมาแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่มาร่วมงานอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี