การเจริญทางธรรมเราไม่ได้มองที่ลาภยศสรรเสริญสุข เรามองความเจริญทางใจ

การเจริญทางธรรมเราไม่ได้มองที่ลาภยศสรรเสริญสุข เรามองความเจริญทางใจ

วันเสาร์ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 19.03 น.

การเจริญทางธรรมเราไม่ได้มองที่ลาภยศสรรเสริญสุข เรามองความเจริญทางใจ ซึ่งเป็นของยากที่จะมองเห็นกัน เราเลยไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เพราะว่าหนึ่ง..ผู้กระทำเราก็มองไม่เห็น ผู้กระทำไม่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนร่างกาย เป็นใจเป็นผู้รู้ผู้คิด แล้วผลที่เกิดขึ้นกับใจผู้รู้ผู้คิดเราก็มองไม่เห็น เราก็ไม่รู้กัน เราก็เลยไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เราเชื่อผลที่จะเกิดทางโลกทางลาภยศสรรเสริญ ทางความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ถ้าเราไม่ได้มาศึกษาทางธรรม เราจะไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องการกระทำ ถ้ามาศึกษาแล้วเราจะเริ่มเข้าใจว่าผู้กระทำคือ..ใจ กรรมแปลว่าการกระทำ ผู้กระทำคือใจ การกระทำด้วยใจทำอย่างไร..ก็ทำด้วยความคิดนี่เอง ความคิดนี่แหละเป็นผู้กระทำผู้สั่งให้ร่างกายไปพูดหรือไปทำอะไรต่อไป การกระทำจึงมี ๓ ช่องทางด้วยกัน


ทำทางใจก็เรียกว่า..มโนกรรม ทำทางวาจาก็เรียกว่า.. วจีกรรม ทำทางกายก็เรียกว่า..กายกรรม เวลาเราเอาข้าวของมาใส่บาตรนี้ เรากำลังทำกายกรรม แต่ก่อนที่เราจะใส่บาตรได้ เราต้องมีมโนกรรมก่อน ใจต้องสั่งก่อนว่าเดี๋ยววันนี้ต้องใส่บาตร ร่างกายก็ไปเตรียมอาหารไปเตรียมของต่างๆไว้ พอพระมาก็ถวายพระใส่บาตรไป ผู้กระทำคือใจ ผู้คิดคือใจ ผู้สั่งให้ทำคือใจ และผู้สั่งให้ร่างกายทำก็คือใจคอยควบคุมทุกขั้นตอน ตักข้าวใส่บาตรนี้ใจเป็นผู้กระทำ เพียงแต่ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือเพราะใจไม่มีเครื่องมือ เหมือนกับคนที่ไม่มีมีด อยากจะทำกับข้าวก็ทำไม่ได้ ต้องมีมีดเป็นเครื่องมือ 

ดังนั้น ขอให้เราเข้าใจว่า วจีกรรมคือการพูดกับกายกรรมคือการทำทางร่างกายนี้ ไม่ได้เป็นผู้กระทำโดยตรง ผู้กระทำโดยตรงคือใจ ผ่านทางวจีกรรม ผ่านทางมโนกรรม แล้วการจะกระทำให้มีผลขึ้นมาต้องผ่านทางกายกรรมและวจีกรรมก่อน ถ้าคิดอย่างเดียวแต่ยังไม่ทำนี้ ผลยังไม่เกิด เช่น วันนี้คิดจะทำบุญแต่ตื่นสาย คิดว่าจะใส่บาตรแต่ตื่นสาย เลยไม่ได้ใส่บาตร ก็ยังไม่ได้บุญ เพราะยังไม่สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์

การจะทำให้บุญหรือบาปสำเร็จได้นี้ ต้องเริ่มที่ใจก่อน เริ่มที่ความคิดก่อน เมื่อคิดแล้วต้องมีการกระทำต่อทางวาจาหรือทางกาย ถึงจะทำให้บุญหรือบาปที่เราคิดนี้สำเร็จผลขึ้นมา ผล..ก็คือความรู้สึกสุขทุกข์ในเบื้องต้น เวลาเราทำบุญทำความดี เราจะมีความสุขใจ เวลาเราทำบาปทำไม่ดี เราจะมีความทุกข์ใจไม่สบายใจ อันนี้เป็นขั้นต้น ผลที่เกิดนี้มันเป็นเพียงแต่เป็นเหมือนหนังตัวอย่างให้เราได้สัมผัสรับรู้ว่าเราได้ทำแล้ว เกิดผลขึ้นมาแล้ว แต่ผลของบุญของบาปยังไม่หมด มันจะเก็บอยู่ในความทรงจำของเรา อยู่ในใจของเรา มันจะมาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่งก็ตอนที่ร่างกายของเราตายไป 

ตอนนั้นเราไม่มีร่างกาย ใจ..ก็ต้องอาศัยบุญหรือบาปนี้เป็นผู้ให้เราได้เสพสิ่งที่เราอยากเสพกัน สิ่งที่เราอยากเสพกันก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ต่างๆ ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ที่พวกเราทำกิจกรรมต่างๆกัน เราทำบุญเราก็เสพกลิ่นรสรูปแบบหนึ่ง เสพอารมณ์แบบหนึ่ง เสพความรู้สึกแบบหนึ่ง เราทำบาปเราก็เสพอารมณ์แบบหนึ่ง เสพความรู้สึกแบบหนึ่ง ผ่านทางตาหูจมูกลิ้นกาย อันนี้มันเป็นสิ่งที่ใจของเราต้องมีให้เสพอยู่เรื่อยๆ พอเวลาที่ไม่มีร่างกาย ใจก็ไม่สามารถใช้ร่างกายไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆได้ เพื่อให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมา ใจก็เลยต้องอาศัยรูปเสียงกลิ่นรสที่ได้บันทึกเอาไว้ จดจำเอาไว้ในความทรงจำ 

เช่น ตอนที่เรานอนหลับร่างกายเราไม่สามารถไปหารูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ มาให้ใจเสพได้ ใจก็เลยต้องไปเอารูปเสียงกลิ่นรสที่ได้บันทึกไว้ คือการกระทำต่างๆ ที่เราทำในขณะที่เราตื่นนี่มันจะถูกบันทึกไว้หมดเลย ตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมาจนถึงเวลาเรานอนหลับนี้ เหตุการณ์ต่างๆที่เราไปทำมีทั้งบุญทั้งบาป มีทั้งไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป มันก็จะเก็บในใจของเรา แล้วพอเวลาเรานอนหลับนี้เหตุการณ์เหล่านั้นก็จะมาปรากฏเป็นภาพขึ้นมาในใจของเรา 

ใจของเรานี้เป็นเหมือนจอภาพยนตร์ แล้วเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราบันทึกไว้มันก็จะมาฉายบนจอภาพยนตร์ เราเรียกเหตุการณ์เหล่านี้ในตอนที่เราเห็นในตอนที่เรานอนหลับ ว่าเป็นความฝัน ความจริงมันเป็นเหตุการณ์ที่เราได้บันทึกเอาไว้ในขณะที่เราตื่น แล้วเป็นเหตุการณ์ดีหรือไม่ดีนี้อยู่ที่ว่าฝ่ายไหนมีกำลังมากกว่ากัน ถ้าเราบันทึกเหตุการณ์ที่ดีไว้มีกำลังมากกว่าเหตุการณ์ที่ไม่ดี เหตุการณ์ทีในจอในมโนภาพของเรา ในตอนที่เรานอนหลับ นั่นแหละเรียกว่าเป็นการแสดงผลของบุญที่เราได้ทำไว้ ถ้าเราฝันดีมีมโนภาพที่ดีในตอนที่เรานอนหลับก็แสดงว่าบุญที่เราทำนี้มีมากกว่าบาปที่เราทำ บุญมันจึงเป็นตัวที่แสดงผลก่อน 

ถ้าเราฝันไม่ดีนี้ก็แสดงว่าบาปที่เราทำนี้มีมากกว่าบุญที่เราได้ทำไว้ บาปมันก็เลยแสดงมโนภาพที่ไม่ดี มโนภาพที่มีแต่เรื่องวุ่นวายต่างๆ เรื่องทุกข์ใจต่างๆ นี้มันจะปรากฏขึ้นมาในตอนที่เรานอนหลับ ตอนที่เราตายมันก็เหมือนกับตอนที่เรานอนหลับนี่เอง ต่างกันตรงที่ว่าเวลาเรานอนหลับ พอเราตื่นขึ้นมาเรายังได้ร่างกายอันเก่าอยู่ แต่เวลาเราตายก็เหมือนกับเรานอนหลับ เวลาเราตายเราทิ้งร่างกายอันเก่า แล้วเวลาเราตื่นขึ้นมาใหม่เราก็ได้ร่างกายอันใหม่ ก็คือตอนที่เรามาเกิดใหม่นั่นเอง 

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต)  - 003

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top