"...พระพุทธศาสนาที่พวกเรามีความศรัทธามีความเชื่อ แต่ขอให้เราเชื่อด้วยเหตุด้วยผล เชื่อตามหลักของความเป็นจริง อย่าเชื่อแบบงมงาย การเชื่อแบบงมงายนี้ไม่ได้รับประโยชน์ที่พึงจะได้รับคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ ให้เชื่อตามหลักของความเป็นจริง ให้รู้ว่าศาสนาพุทธนี้เป็นสถาบันการศึกษา เป็นที่มาร่ำเรียนวิธีที่จะดับความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป
ไม่ใช่เป็นที่มาขอดูดวง ไม่ใช่เป็นที่มาขอสะเดาะเคราะห์ ไม่สบาย อยากจะให้หาย ก็มาหาพระพุทธศาสนา กิจการไม่เจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง จะล้มละลาย ก็มาหาพระพุทธศาสนา ลูกออกมาอยากจะให้ลูกเป็นคนดี ก็มาให้โกนหัวให้ ให้ตัดผมให้ ชีวิตไม่ค่อยก้าวหน้ารุ่งเรืองก็มาขออาบน้ำมนต์ เรื่องราวเหล่านี้มันเป็นเรื่องของความงมงาย มันไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่ทราบว่ามันเข้ามาได้อย่างไร มันแทรกเข้ามาทีละนิด จนกลายเป็นเนื้อหนังของศาสนาไป พอใครมาสอนว่านี่ไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา ก็เลยกลายเป็นคนแปลกไป เอ๊ะ พูดอย่างนี้ได้ยังไง ศาสนาเขาทำกันอย่างนี้มาตั้งนาน เขาอาบน้ำมนต์กันมาตั้งนาน เขามาดูดวงกันที่วัด เขามาขอหวยขอเลขกัน ขอพรกัน แต่คนนี้มาบอกว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ของศาสนา
ก็เพราะว่าชาวพุทธเราส่วนใหญ่นี้ไม่ได้ศึกษากันอย่างแท้จริงนั่นเอง เรียนตามปากเปล่าที่เขาเล่ากันมา เขาเล่าว่า อ่ะ ไม่สบายเหรอ ไปวัดไป ไปขอน้ำมนต์หน่อย ไปดูดวงหน่อย อะไรหน่อย ไปแก้สะเดาะเคราะห์หน่อย ไปทำนู่นทำนี่หน่อยแล้วดวงจะดีขึ้น อะไรอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของศาสนาเลย มันเลยทำให้ความศักดิ์สิทธิ์หรือความวิเศษของศาสนา กลายเป็นของที่ไม่ศักดิ์สิทธ์ไป เป็นของที่ไม่น่านับถือ ไม่น่าเชื่อถือไป เนี่ยสมัยนี้ เด็กสมัยใหม่มันไม่เชื่อถือศาสนาแล้วนะ มันบอกมันไม่อยากจะมีศาสนา เพราะว่าไม่รู้มีศาสนาไว้ทำอะไร มันบอกว่ามันสามารถทำมาหากินของมันเองได้ เลี้ยงดูตัวมันเองได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีศาสนาเลย ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้ละสิว่าศาสนานี้เป็นอะไรกันแน่ คิดว่าศาสนาเป็นที่สะเดาะเคราะห์ เป็นที่ดูดวง เป็นที่อาบน้ำมนต์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่มีใครนับถือศาสนากัน เพราะไม่รู้ความเป็นจริงของศาสนาว่า ศาสนานี้เป็นที่รักษาโรคจิตใจ
ใครมีศาสนานี้ ใครปฏิบัติตามศาสนานี้ได้ รับประกันว่าไม่ฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน จะไม่มีอาการซึมเศร้า จะไม่มีอัลไซเมอร์ ไม่มีความหลงความลืมอะไร เพราะศาสนานี้จะสอนให้มีสติตลอดเวลา สอนให้จิตมีความสุขตลอดเวลา จะไม่มีความซึมเศร้า จะไม่มีความรู้สึกว่าจะต้องคิดฆ่าตัวตายกัน แต่ถ้าไม่มีศาสนาเนี่ยเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถึงแม้ตอนนี้อาจจะยังไม่ต้องพึ่งศาสนา เพราะตอนนี้ยังไม่มีความทุกข์
โดยเฉพาะเวลาที่เป็นหนุ่มเป็นสาวนี่ สามารถทำอะไรตามความอยากความต้องการได้ อยากมีความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายก็มีได้ อยากจะมีแฟนก็มีได้ อยากจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ก็มีได้ ในตอนที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวนี้ยังสามารถทำอะไรต่างๆ ได้อยู่ ก็เลยไม่เห็นความจำเป็นของศาสนาว่ามีไว้ทำไม แล้วยิ่งเห็นการปฏิบัติทางศาสนาว่ามีแต่พิธีกรรมอย่างเดียว ก็เลยยิ่งทำให้ไม่มีศรัทธาในศาสนา นี่เป็นเพราะว่าผู้ใหญ่ไม่สั่งสอนเด็ก ให้รู้จักว่าศาสนานี้มีหน้าที่อะไร ทำอะไร มีไว้ทำไม มีเพื่ออะไร เพราะว่าผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ ผู้ใหญ่ก็ไม่มีผู้ใหญ่ของเขาสั่งสอนมา ปู่ย่าตายายเขาก็ไม่ได้สั่งสอนให้เขารู้ว่าพระพุทธศาสนานี้ มีหน้าที่ทำอะไรกันแน่ ก็เลยปฏิบัติทำอะไรกันมาตามธรรมเนียมตามประเพณี ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธนี้มีหน้าที่สั่งสอน แล้วก็ให้ไปปฏิบัติเพื่อจะได้กำจัดความทุกข์ต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากใจ ถ้าสามารถกำจัดความทุกข์ได้แล้ว ชีวิตจะมีแต่ความสุขตลอดเวลา จะไม่มีความทุกข์อะไรเข้ามาเหยียบย่ำจิตใจเลย..."
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี