การอยู่แบบหรูหราการอยู่แบบฟุ่มเฟือยนี้ มันเป็นการอยู่แบบกิเลสต่างหาก เป็นการอยู่กับความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว เพราะมันจะต้องใช้เงินทองมาก จะต้องเสียเวลาให้กับการหาเงินหาทอง เมื่อทำงานหาเงินหาทองก็จะต้องเจอปัญหาต่างๆ เจออุปสรรคต่างๆ เจอความเครียดต่างๆ ท่านจึงเลือกทางกินอยู่แบบที่มันมีอุปสรรคมีความเครียดมีปัญหาน้อยที่สุด ก็คือมักน้อย เอาเท่าที่จำเป็น เช่น อาหารก็ขอแค่วันละมื้อเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่จู้จี้จุกจิกว่าจะต้องเป็นอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ ถ้าคนให้เขากินได้ เขากินอะไรได้ เขาให้เรามา เราก็กินได้เหมือนกันอาหารที่เขาให้มา ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเลือกว่าเรากินอาหารชนิดนั้นชนิดนี้นะ
เวลาไปบิณฑบาตเขียนเมนูไว้ติดฝาบาตรไหม ใครจะใส่บาตรนี่อ่านเมนูก่อนนะ ไม่มีหรอก ท่านก็เดินไปเปิดฝาบาตรไป ใครอยากจะใส่อะไรก็ใส่ไป กลับมาวัดท่านก็หยิบสิ่งที่ท่านพอฉันได้ หยิบเอามาฉัน แล้วก็ฉันแค่มื้อเดียวก็พอ ร่างกายมันต้องการอาหารแค่มื้อเดียวเท่านั้นต่อวัน ไม่จำเป็นจะต้องกินสี่ห้ามื้อ ห้าหกมื้อ บางคนกินทั้งวันทั้งคืน พอปากว่างแล้วปั๊บเดี๋ยวกินอีกแล้ว หาอะไรมาไม่กินก็ดื่ม กินอยู่นั่นดื่มอยู่นั่น จนกลายเป็นลูกโป่งพองแล้ว
นี่คือการกินอยู่แบบไม่มีหลักมักน้อยสันโดษ กินตามความอยาก กินจนกระทั่งกลายเป็นตุ่มกันไป แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนกัน โดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไปโทษโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ได้ไปโทษคนกิน คนกินนี่แหละเป็นตัวไปสร้างโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา กินมากน้ำหนักเกิน น้ำตาลมาก ไขมันมาก เกลือมาก กินของเค็มมากๆ ก็ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง กินน้ำตาลมากก็เกิดเบาหวาน กินไขมันมากก็เกิดไขมันอุดตัน เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคอะไรต่างๆนี้ เป็นโรคที่เกิดจากการกินทั้งนั้นแหละ
สมัยก่อนยุคที่ไม่มีความเจริญทางด้านการกินการอยู่นี้ โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ไม่ค่อยมี สมัยก่อนนี้หาดูสิหาคนอ้วนดูได้ยาก มีแต่คนผอมๆทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรกินมากๆเหมือนสมัยนี้ ร้านอาหารเต็มไปหมด เดินไปแทบทุกแห่งทุกหนนี้ มีร้านอาหารเต็มไปหมด สมัยก่อนนี้ร้านอาหารไม่ค่อยมี ต้องซื้อมาทำกินกันเอง อันนี้เป็นเพราะกินอยู่แบบไม่มีธรรมะเป็นผู้คอยกำกับ
ธรรมะก็คือเหตุผลความต้องการของร่างกาย ร่างกายต้องการเพียงใด ก็ให้มันเพียงนั้นก็พอ อย่าให้มันมาก มันไม่ยินดีหรอกร่างกาย ให้มันอ้วน มันอยากอ้วนที่ไหน กินแล้วก็อ้วนกัน แล้วก็ต้องไปเสียเงินรีดน้ำหนักกันอีก ลดน้ำหนักกันอีก เพราะไม่รู้จักห้ามปรามกิเลสความอยากกิน หาความสุขจากการกิน หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะของอาหาร นี่มันเป็นการหาความทุกข์ทั้งนั้น
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี