เดือนพฤษภาคมของทุกปี นอกจากจะมีวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคมแล้ว ยังมี “วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ” ตรงกับ “วันที่ 10 พฤษภาคม” ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุ “โศกนาฏกรรมเพลิงไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์” เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2536 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 188 ศพ บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ส่งผลให้สังคมไทยตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน และเนื่องในปี 2566 นี้ครบ 30 ปีเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมีการจัดงาน “คิดถึงตุ๊กตา รำลึก 30 ปี โศกนาฏกรรมเคเดอร์” เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 โดยพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย และเครือข่ายอีกหลายองค์กร
รัศมี ศุภเอม อดีตพนักงานโรงงานเคเดอร์ เล่าว่า เมื่อ 30 ปีก่อน เวลานั้นอายุ 18 ปี ทำงานในตำแหน่ง QC ในส่วนของ Soft Toy ควบคู่ไปกับการเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ยุคนั้นนายจ้างจะให้ความสำคัญกับผลผลิตหรือสินค้าซึ่งจะต้องทำให้ได้ทันกับความต้องการของลูกค้า มากกว่าเรื่องของความปลอดภัยในการทำงาน การทำงานล่วงเวลา(OT) เป็นเรื่องปกติของคนงาน แม้กระทั่งเวลาพักรับประทานอาหารเย็นก่อนทำงานล่วงเวลาก็ต้องเรียกร้องต่อรองกันจนได้มา แต่ก็ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ถึงรู้ว่าไม่ปลอดภัยก็ไม่มีทางเลือกเพราะต้องการมีรายได้
และต้องบอกว่า ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมไฟไหม้ครั้งใหญ่ในวันที่ 10 พ.ค. 2536 โรงงานเคเดอร์ก็เคยเกิดเพลิงไหม้มาแล้วแต่สามารถดับเพลิงได้ทันก่อนลุกลาม แต่ครั้งที่เป็นเหตุรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะไม่มีใครทราบว่าต้นเพลิงอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคาร โดยขณะนั้นซึ่งเป็นเวลาประมาณ 16.30 น. ตนเองทำงานอยู่ที่ชั้น 3 ก็ยังไม่ทราบว่าเกิดเพลิงไหม้แล้ว จนมีเพื่อนร่วมงานวิ่งมาบอกว่าเกิดเพลิงไหม้เพื่อให้รีบหนี
“โรงงานมีทางออกอยู่ 2 ทาง คือบันไดกลางและบันไดข้างอาคาร มีทางลง 2 ทาง คือบันไดกลางจากชั้น 4 จะออกตรงประตูกลางของชั้น 1 แต่ปรากฏว่าวันนั้นไฟไหม้ตรงบันไดกลาง คนที่ลงบันไดกลางพอเจอไฟเขาจะวิ่งย้อนกลับขึ้นไป ส่วนดิฉันจะวิ่งขึ้นไปชั้น 4 จะไปออกตรงทางเชื่อมของอาคาร 1 ไปยังอาคาร 2 แต่เพื่อนบอกไปไม่ได้เพราะทางเชื่อมตรงนั้นมันถูกปิดแล้ว คือประตูล็อกออกไม่ได้แล้วทั้งชั้น 3 และชั้น 4 ออกทางเชื่อมไม่ได้ เพื่อนก็บอกว่าต้องลงไปให้ถึงชั้น 1 ทีนี้เราอยู่ชั้น 3 คนงานเยอะมาก ก็วิ่งมาออกันตรงประตู
พอออกจากชั้น 3 ลงบันไดมาถึงชั้น 2 ก็ยากลำบาก คนงานแออัดยัดเยียดมากมองไม่เห็นขั้นบันไดด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็คิดว่าทำไมชีวิตเราจะต้องมาอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ ก็ลงมาถึงชั้น 2 คือทุกวินาทีมันน่ากลัวไปหมด ลงมาถึงชั้น 2 ก็คิดว่า
คงไปไม่ถึงชั้น 1 เพราะไฟมันเริ่มโฉบออกมา พอคนงานถึงบันไดขั้นแรกก็ชะงักไม่กล้าวิ่งผ่านกองไฟไป ก็ลงมาเรื่อยๆ คนก็แน่นเป็นปลากระป๋อง ออกไม่ได้แล้วต้องมีคนข้างล่างมาดึงคนงานตรงบันไดออกไปทีละคน” รัศมี เล่าย้อนวินาทีหนีตาย
สมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน บอกเล่าการต่อสู้ของแรงงานที่เจ็บป่วยจากการทำงาน ซึ่งภาครัฐไม่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกันอีกทั้งยังถูกนายจ้างฟ้องเป็นคดีความ รวมถึงตนเองก็เคยไปร่วมประท้วงที่ฮ่องกงกรณีโรงงานเคเดอร์ไฟไหม้ จากวันนั้นถึงปัจจุบันที่ผ่านไป 30 ปี ประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยจากการทำงาน ยังเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้เรียกร้องกันต่อไป โดยเฉพาะสิ่งที่ยังขาดคือการเปิดโอกาสให้ตัวแทนแรงงานมีส่วนร่วม ส่งผลให้แรงงานเข้าไม่ถึงสิทธิ
“บางโรงงาน 20 ปี อุบัติเหตุคนตาย คนตกจากที่สูงเยอะแยะ แต่ได้รางวัล Zero Accident (อุบัติเหตุเป็นศูนย์) แล้วเรื่องโรคจากการทำงาน โรคจากอาชีวอนามัย ไม่มีการพูดถึงเลย เพราะฉะนั้นความตาย อุบัติเหตุ การสูญเสีย มันยังแขวนไว้ สิ่งที่ดิฉันพบเจอคือคนที่อยู่ในโรงงาน โรงงาน 4 แสนโรง แต่มีสหภาพแรงงานที่เราจัดตั้งมี 1% เท่านั้นเอง” ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน กล่าว
จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลกล่าวว่า กรณีเคเดอร์นั้นมองเห็นปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ชัดเจนมาก โดยเป็นโรงงานที่มีคนงานถึง 4,000 คน แต่ไม่มีสวัสดิการและสภาพการทำงานก็ไม่ปลอดภัย ทำให้การเคลื่อนไหวจากเหตุการณ์นี้จึงมีน้ำหนัก อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องง่ายในการเรียกร้องค่าชดเชยจากสถานประกอบการ เพราะเคเดอร์เป็นกิจการที่มีหุ้นส่วนร่วมลงทุนจากหลายประเทศแต่การเยียวยาก็ยังไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบด้านจิตใจรวมถึงการดูแลลูกที่ต้องสูญเสียพ่อแม่
“สิ่งที่เราได้มาจากเคเดอร์คือการพูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในเรื่องการแก้ปัญหาความปลอดภัย แล้วก็มีหลายเรื่องที่ได้-หลายเรื่องที่ไม่สำเร็จ ผมยอมรับว่าหลายเรื่องยังมีปัญหาเพราะว่าตอนนี้เรามีกฎหมายความปลอดภัยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่ค่อยมีคนเอาไปใช้ ซึ่งมันก็มีจุดอ่อนแต่ก็มีจุดแข็งด้วย กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือแต่คำถามคือคนงานอาจจะไม่รู้ เครื่องมือนี้มันต้องเอาไปใช้เพราะมันมีการตรวจสอบโรงงานได้ด้วย” จะเด็จ กล่าว
บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ อดีตผู้อำนวยการมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ รัฐบาลขณะนั้นได้ตั้ง
คณะกรรมการขึ้นมา คือ 1.คณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริง รวมตัวแทนภาครัฐหลายหน่วยงาน อีกทั้งยังมีตัวแทนจาก
สภาวิชาชีพวิศวกรรม เพียงแต่ที่น่าสังเกตคือมีตัวแทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างเพียงฝ่ายละ 1 คน กับ 2.คณะกรรมการอำนวยการช่วยเหลือลูกจ้างที่ประสบภัย ประกอบด้วยนักวิชาการและตัวแทนภาคประชาสังคมเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม มองว่าการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบซึ่งอิงตามมาตรฐานขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดนั้นไม่เพียงพอหรือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่กระบวนการปรับปรุงกฎหมายนั้นก็ใช้เวลานาน นอกจากนั้นอีกประเด็นที่ต้องเน้นคือ กรณีเคเดอร์บทบาทของภาคแรงงานมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นภาคประชาสังคมและภาควิชาการ ทำให้สามารถต่อรองกับนายจ้างให้จ่ายค่าชดเชยได้มากกว่าที่กฎหมายกำหนด
“จะทำอย่างไรให้เครือข่ายขององค์กรแรงงานมีบทบาทในเชิงป้องกันมากกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คล้ายๆ กับคือทุกวันนี้เหมือนกับเกิดเหตุขึ้นก่อนแล้วมาแก้ปัญหา ซึ่งถ้าไปดูแต่ละสาเหตุ จะพบแต่ละโรงงานเคยมีประสบการณ์มาก่อนเคเดอร์นี่ก็ไฟไหม้มา 2-3 ครั้ง มีคนบาดเจ็บแต่ไม่มีคนตาย แล้วก็หนังสือเตือนจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม แล้วสุดท้ายก็มาเกิดวิบัติภัยขึ้นจริงๆ” บัณฑิตย์ กล่าว
ในการจัดงานครั้งนี้ ยังมีข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความปลอดภัยและสุขภาพในการทำงาน อาทิ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับสารเคมี มลพิษ สิ่งแวดล้อม โรคมะเร็งจากการทำงานต่างๆ และให้ตั้งโรงพยาบาล คลินิกอาชีวเวชศาสตร์ในย่านนิคมอุตสาหกรรมให้เพียงพอ บังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างเข้มข้นพร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อคนงาน
โดยให้คนงานสามารถเข้าถึงสิทธิง่าย สะดวก รวดเร็ว ครอบคลุมทุกโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงานและเกี่ยวเนื่อง เป็นต้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี