วันที่ 8 มกราคใ 2567 นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช คนไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ประเทศเนปาลได้สำเร็จ เมื่อปี 2551 กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ว่า ยอดเขาเอเวอเรสต์ มีความสูง 8,848 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล แต่ต้องอธิบายก่อนว่า ยอดเขาเอเวอเรสต์ เกิดขึ้นจากแผ่นเปลืออโลกยูเรเชียนเพลทกับอินเดียนแพลทชนกันเมื่อ 50 ล้านปีก่อน ในเวลาที่ยังอยู่ใต้น้ำและดันตัวสูงขึ้น
กระทั่งวันที่ 29 พ.ค. 2496 มีคน 2 คน คือ เทนซิง นอร์เก เชอร์ปา และ เอ็ดมันด์ ฮิลลารี ปีนขึ้นสู่ยอดเขา โดยเวลานั้นยอดเขามีความสูง 8,848 เมตร จึงยึดตัวเลขนี้เป็นความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่จริงๆ แล้วยอดเขาเอเวอเรสต์สูงขึ้นทุกปีเพราะเปลือกโลกยังดันกัน อย่างตอนที่เกิดแผ่นดินไหวที่เนปาลเมื่อ 6 – 7 ปีก่อน ยอดเขาก็ทรุดลงมา แต่หลังจากนั้นก็ดันกลับสูงขึ้นไปอีก อย่างปัจจุบันตัวเลขที่มีการวัดกันคือ 8,852 เมตรบ้าง หรือ 8,850 เมตรบ้าง
ซึ่งการพิชิตยอดเขาแห่งนี้เป็นเรื่องยากมากจาก 3 ส่วน 1.สภาพทางธรรมชาติ ด้วยความสูง 8,848 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้เกิดปรากฎการณ์ เช่น อากาศเบาบาง อย่างที่เราอยู่อาศัยกันขณะนี้ มวลอากาศ 100% จะมีออกซิเจน 21% แต่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ มวลอากาศเหลือ 30% ออกซิเจนเหลือแค่ 6% ดังนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วร่างกายไม่ปรับตัว จะเกิดภาวะปอดชื้น ปอดบวม สมองบวม นอกจากนั้น ด้านบนอุณหภูมิยังอยู่ที่ -40 องศาเซลเซียส มีหิมะตลอดปี นี่คือความยากลำบากของสถานที่ที่มีความสูง
2.อันตรายจากอุบัติเหตุ อย่างฝั่งใต้ หรือฝั่งประเทศเนปาลที่ตนปีนขึ้นไป ต้องข้ามหุบเหว ต้องใช้บันไดอลูมืเนียมพาด และแม้จะมีอุปกรณ์ลดความเสี่ยงแต่จุดนี้ก็เป็นจุดที่มีผู้เสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง หรือปีนอยู่เจอหิมะถล่มใส่ก็เสียชีวิตได้เช่นกัน และ 3.ความเหนื่อยล้า กว่าจะไปถึงยอดเขาต้องใช้เวลากันถึง 2 เดือน จริงๆ หากปีนทีเดียวให้จบใช้เวลาเพียง 6 วันก็ถึงยอด แต่ที่นานกว่านั้นเพราะต้องทำให้ร่างกายปรับตัว ให้ไขกระดูกสร้างฮีโมโกลบิน
โดยค่าใช้จ่ายการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์จะอยู่ที่ราว 2-3 ล้านบาท เพราะต้องอยู่ที่นั่น 2 เดือน ต้องใช้ลูกหาบ ต้องมีอาหารรับประทาน ยังไม่นับค่าอุปกรณ์ที่ตกราวหลักแสนบาท จนมีคนกล่าวแบบติดตลกว่า นอกจากร่างกายแข็งแรง จิตใจมุ่งมั่นและมีเงิน แล้วยังต้องโง่และบ้าด้วย แต่คำว่าบ้าในที่นี้ตนมองว่าหมายถึงบ้าระห่ำในความศรัทธา เพราะอัตราเสี่ยงอยู่ที่ใน 10 คน จะมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในขาขึ้น และ 6 คน จะมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในขาลง โดยตอนลงเขานั้นยากกว่าตอนขึ้นเขาเพราะหมดแรง อย่างเท่าที่พบศพกันขณะนี้ก็ประมาณ 300-400 รายแล้ว
ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีคนขึ้นปีนเยอะ จำนวนคนที่ปีนสำเร็จผมเข้าใจว่าน่าจะอยู่ราวๆ สัก 5-6 พันคนแล้วตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรก ย้อนไปในปี 2467 มีสื่อไปถาม จอร์จ มัลลอรี ที่พยายามปีนยอดเขาเอเวอเรสต์มาแล้ว 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ ว่าจะกลับไปปีนทำไมอีก แล้ว มัลลอรี ตอบสั้นๆ ว่า เพราะมันอยู่ตรงนั้น (Because is there) ตนมองว่าเป็นคำตอบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง และเป็นคำตอบที่ตนเพิ่งเข้าใจหลังปีนได้สำเร็จ ว่าเมื่อเราศรัทธาอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อนั้นเราจะเชื่อมั่นว่าสิ่งนั้นจะต้องทำได้
“ถ้าเราเลือกที่จะไป ก่อนจะถึงยอดเขาเราก็ต้องพบอุปสรรค เหมือนเราตั้งเป้าในชีวิตเรา อยากได้นั่น-อยากเป็นนี่ ถ้าเราไม่ต่อสู้อะไรเลยมันก็ไม่ได้ ยิ่งเป้าสูง เป้าหมายยาก มันก็ต้องยิ่งมีอุปสรรคยาก แต่เมื่อเราไปถึงจุดตรงนั้นมันคือสุดยอด คำว่าสุดยอดมันใช้กับสิ่งที่ผมทำได้เลย มันสุดยอดจริงๆ คือตอนแรกผมก็มีแรงบันดาลใจ ต้องบอกก่อนเลยว่าจุดเริ่มต้นมาจากการคุยกันเล่นๆ แต่ว่าผมไม่เล่น ผมเอาจริง” นายวิทิตนันท์ กล่าว
นายวิทิตนันท์ กล่าวต่อไปว่า เวลานั้นเป็นปี 2547 ตนเป็นคนชอบท่องเที่ยวแบบผจญภัย เช่น ดำน้ำ ขับเครื่องบินเล็ก แต่ยังไม่เคยปีนเขา ระหว่างไปดำน้ำกับเรือมารีเวสต์ ได้พูดคุยกับ นายสาโรจน์ เปรื่องวิริยะ ซึ่งเป็นพี่ที่รู้จักกัน ท่านถามตนว่าเคยปีนเขาหรือไม่ ตนบอกว่าไม่เคย มีการพูดติดตลกอีกว่าภูเขาสูงที่สุดที่ตนเคยปีนคือภูเขาทองวัดสระเกศ ขนาดภูกระดึง จ.เลย ก็ยังไม่เคยไป นายสาโรจน์ก็บอกว่าน่าเสียดาย อยากชวนไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ เนื่องจากในปี 2549 จะเป็นวาระที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี อยากทำเป็นของขวัญถวายพระองค์ท่าน
เมื่อตนได้ยินที่นายสาโรจน์บอกว่าอยากทำเพื่อถวายในหลวง ร.9 ด้วยการพาคนไทยไปชูธงชาติ ร้องเพลงชาติไทยและเพลงสรรเสริญพระบารมีบนยอดเขาเอเวอเรสต์ ตนก็บอกว่าถ้าแบบนั้นตนขอไปด้วย และตนขอเป็นโปรดิวเซอร์รายการนี้เอง จะทำเป็นรายการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ แต่เกิดปัญหาทำให้นายสาโรจน์ไม่สามารถทำต่อได้ ตนจึงรับหน้าที่วิ่งหาสปอนเซอร์เอง พยายามอยู่ 5 ปี จนได้คุยกับทางบริษัทกันตนา ถึงตรงนี้ก็ต้องเอ่ยชื่อบุคคลสำคัญ คือนายนิรัตติศัย กัลย์จาฤก
ขณะเดียวกัน ตนก็เริ่มจากการไปปีนเขาในจุดเล็กๆ ของเส้นทางสู่เอเวอเรสต์ก่อน เช่น เบสต์แคมป์ (Base Camp) ยอดเขาคาลาปาธาร์ (Kalapatther) ที่สูง 5,545 เมตร นอกจากนั้น ตนยังได้ทำละครเวทีกับนายนิรัตติศัย เจอคำถามว่าอยากทำอะไรมากที่สุด ตนก็ตอบไปว่าอยากปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ พร้อมกับนำคลิปวีดีโอที่ตนไปปีนเขาเหล่านั้นไปให้ดู นายนิรัตติศัย ก็บอกว่าขอเอาไปให้ นายจาฤก กัลย์จาฤก แล้วนายจาฤกก็เรียกตนไปคุย บอกว่ามาทำกันเถอะ ก็วิ่งหาสปอนเซอร์และช่องโทรทัศน์กันต่อ แต่ยังไม่ได้ในไทย
อย่างไรก็ตาม นายจาฤก บอกว่าทำรายการอยู่ที่เวียดนาม จึงแนะนำให้ตนนำโครงการไปเสนอที่เวียดนาม จึงเกิดเป็น Vietnam 2008 Everest to the World และเรียกเสียงฮือฮาจากที่นั่นได้อย่างมาก มีการเฟ้นหาตัวแทนจาก 100 คน คัดเหลือ 20 และ 12 คน 8 คน 6 คน สุดท้ายเหลือ 4 คนที่มีความพร้อมที่สุดเพื่อไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ นอกจากนั้นคณะเดินทางยังมีช่างภาพจาก National Geographic 1 คน มีการตัดต่อแล้วส่งสัญญาณรายงานความคืบหน้าจากเบสต์แคมป์ทุกวัน ซึ่งเสียดายรายการนี้ไม่ได้ออกอากาศในประเทศไทย
“ปีน 6 คน แต่ซัพพอร์ตทีมมีอีก 13 คน ทั้งหมด 19 คน แต่ขึ้นไปถึงบนนั้นได้เพียง 5 คน คือผู้เข้าแข่งขันมี 4 คน เป็นนักกีฬาทีมชาติหมด ช่างภาพ National Geographic 1 คน และผมเป็นหัวหน้าทีม 6 คนปีน พิชิตได้ 5 ผู้เข้าแข่งขัน 4 คน คนหนึ่งไม่สำเร็จ ก็เท่ากับทีมเวียดนามสำเร็จ 3 คน คนแรกชื่อเล่นเขาชื่อเงยหรือเหงียน อะไรสักอย่าง เป็นผู้ชาย เป็นนักยิมนาสติก แต่อีก 2 คนก็ตามมา เขาคนแรก 15 นาที อีก 15 นาทีเราก็ตามมา” นายวิทิตนันท์ ระบุ
นายวิทิตนันท์ ยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่เกิดมาตนเห็นในหลวง ร.9 ท่านทรงงานแล้ว อย่างบ้านตนเป็นครอบครัวขยายหรือครอบครัวใหญ่ ได้รับการปลูกฝังเรื่องศิลปวัฒนธรรม ได้เห็นข่าวในโทรทัศน์บ้าง แม่หรือป้ามาเล่าบ้างว่าในหลวง ร.9 ท่านทำอะไร อย่างตอนเรียนหนังสือเคยโดดเรียนไปเล่นละครเพราะเป็นสิ่งที่ตนชอบ แล้วก็มีเพื่อนๆ คุยกัน มีความสงสัยว่าที่ในหลวง ร.9 ท่านทำสิ่งต่างๆ นั้นจริงหรือไม่ ตนก็ตัดสินใจพิสูจน์ด้วยการเดินทางไปโครงการหลวง อาทิ คุ้งกระเบน จ.จันทบุรี , ชั่งหัวมัน จ.เพชรบุรี , ดอยตุง จ.เชียงราย ซึ่งที่นี่ตนไปตั้งแต่ยังไม่มีพระตำหนักดอยตุง
กระทั่งสุดท้ายตนไปได้คำตอบที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ เจอคุณป้าท่านหนึ่งเป็นชาวม้ง เล่าให้ตนฟังว่า ในหลวง ร.9 เสด็จมาที่นี่แล้วทรงรับสั่งอะไรบ้าง และพืชเมืองหนาวที่ท่านโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกแทนฝิ่น มีมานานมากก่อนตนเกิด แล้วต้องบอกว่าหลายอย่างที่พระองค์ท่านทรงทำนั้นไม่มีใครรู้ เป็นการปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง ตนก็รู้สึกซาบซึ้ง ซึ่งก็ต้องเล่าย้อนอีกว่า ตอนยังเรียนอยู่ก็เป็นพวกหัวขบถพอสมควร แต่ขบถในรุ่นของตนก็คือต้องพิสูจน์ เมื่ออีกฝ่ายที่มีชุดข้อมูลบอกว่าได้รับฟังจากเขาเล่าต่อกันมา ตนก็บอกเดี๋ยวไปถ่ายรูปมาให้ดู
แม้กระทั่งเมื่อตอนที่ตนปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ ตนก็ยังนึกถึงในหลวง ร.9 เพราะตนทึ่งในสิ่งทีท่านทรงทำ ตนมองว่าพระองค์ท่านต้องข้ามยอดเขาอย่างมหาศาล เพราะโครงการพระราชดำริ และอีกหลายสิ่งที่พระองค์ท่านปูพื้นฐานไว้ให้กับคนไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก และหลายสิ่งคนไทยก็ไม่เข้าใจ เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องนี้ตนว่ามีคนเข้าใจน้อยมาก แต่ก็มีคนกล่าวว่า คนจนเพราะไม่มีนั้นน้อยกว่าจนเพราะไม่พอ และหากพอก็จะไม่จน
“ผมรู้สึกว่าสิ่งที่พยายามทำก็ทำสำเร็จ ตอนขึ้นไปก็เหมือนฝันนะ แต่ผมคิดว่าฝันทุกฝันเป็นจริงได้ถ้าเราลงมือทำและตามล่าหามัน แล้วผมว่าทุกอย่างมันมีความหมายหมดถ้าเราให้ความหมายกับมัน แล้วก็ทำจริงกับมัน ทุกอย่างมีความหมายหมดเลย อยากจะพูดนิดหนึ่ง เชื่อไหมว่าพอสุดท้ายแล้วตอนที่ผมคิดว่าพอลงมา ผมรู้สึกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ไม่ใช่ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก มันมียอดที่สูงกว่าเอเวอเรสต์ ยอดเขานั้นคือยอดเขาที่อยู่ในใจ มันคือภูเขาในใจ จนทุกวันนี้ผมก็สู้กับมันทุกวัน ภูเขาลูกนี้ทำไมมันยากอย่างนี้ เพราะอุปสรรคเราตั้งมันขึ้นมาเอง” นายวิทิตนันท์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี