ระบบอาหารของโลกมีความเปราะบางและไม่เพียงพอต่อความต้องการของมวลมนุษยชาติ และเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ไม่ได้รับอาหารเพื่อสุขภาพ โดยปัญหาเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสงคราม ความขัดแย้ง ภาวะโลกระบาด ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตลอดจนภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
อาหารแห่งอนาคต (Future Food) ถูกหยิบยกมาพูดในวงกว้าง ด้วยมองว่าเป็นทางเลือกและทางรอดของมวลมนุษยชาติ ในยุคที่โลกมีความผันผวนในหลากหลายมิติจากเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น เพราะอาหารแห่งอนาคตผลิตจากแหล่งโปรตีนที่มีกระบวนการผลิตที่มีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มา และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยภาครัฐหลายหน่วยงานได้มีการวางแผนสนับสนุนอาหารแห่งอนาคตตามเทรนด์อาหารและกระแสความยั่งยืนของโลก
เมื่อหันกลับมามองศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยจะพบว่า รัฐบาลมีนโยบาย “ครัวไทยครัวโลก” ที่ประกาศมานานกว่า 10 ปี และตอกย้ำด้วยนโยบาย IGNITE THAILAND ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยการหยิบยกตัวเลขการคาดการณ์จากสำนักงานด้านประชากรขององค์การสหประชาชาติ ว่าในปี 2593 ทั่วโลกจะมีจำนวนประชากรทั้งหมดเกือบ 10,000 ล้านคน ซึ่งมากกว่าในปัจจุบันเกือบ 2,000 ล้านคน ดังนั้นเมื่อมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นก็ย่อมต้องการอาหารมากขึ้นเช่นกันซึ่งไทยสามารถผลิตอาหารได้ตั้งแต่ต้นน้ำในภาคเกษตรกรรม จนไปถึงการแปรรูปส่งออกไปยังตลาดโลกได้ โดยรัฐบาลจะพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต การวิจัยพัฒนาอาหารโปรตีนสูงจากพืช ตลอดจนการพัฒนาอาหารที่แปลกใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นกระแสของตลาดโลกในอนาคต
ขณะที่ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและพบว่า ในปี 2566 ไทยส่งออกอาหารอนาคต (Future Food) มูลค่ากว่า 144,000 ล้านบาท สัดส่วนส่งออกมากที่สุดคือ อาหารสุขภาพ และสารประกอบเชิงฟังก์ชั่น 89% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ทั้งนี้ กลุ่มอาหารอนาคตมีสัดส่วนส่งออก 11% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทยและคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารอนาคตจะมีมูลค่าถึง 220,000 ล้านบาท
จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอาหารอนาคตเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นกลไกสำคัญเพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และตอบรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงการบริโภคของโลก
นางสาวสิรินยา ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจนวัตกรรม สอวช. กล่าวว่า ปัจจุบันไทยส่งออกอาหารเป็นอันดับที่ 12 ของโลก โดย 90% เป็นอาหารแปรรูปและไม่แปรรูป เช่น ไก่ ทูน่ากระป๋อง สับปะรด มันสำปะหลัง เป็นต้น และอีก 10% เป็นอาหารแห่งอนาคต ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารที่เราอยากส่งเสริมให้เติบโตในอนาคต
โดยกลุ่มอาหารเดิมที่ส่งออก จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงด้านผลิตภาพ หรือ Productivity เพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าทั้งปุ๋ย อาหารสัตว์ มูลค่ามหาศาลต่อปี ซึ่งมีความเปราะบาง ดังนั้นทิศทางที่เราจะสนับสนุนคือ ด้านความปลอดภัยและความยั่งยืน และไม่พึ่งพาการนำเข้า โดยการผลิตให้เพียงพอ เพิ่มผลิตภาพโดยการใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงพันธุ์
สอวช. ได้วางกรอบแนวคิดในการขับเคลื่อนอาหารอนาคตของไทยด้วย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานของรัฐ เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ผ่าน 4 แนวทาง ได้แก่
1. สร้างคอนเซอร์เทียมวิจัยวัตถุดิบต้นน้ำ ผ่านการบริหารจัดสรรทุนวิจัย
2. สร้างแพลตฟอร์มถ่ายทอดเทคโนโลยี และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (Localization & Transfer) ประเมินเทคโนโลยี ตลาด วิจัยกระบวนการผลิต โรงงานต้นแบบ บริการตรวจวิเคราะห์ตลอดจนสนับสนุนการขึ้นทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
3. ส่งเสริมหน่วยบ่มเพาะสตาร์ทอัพ Foodtech & Biotech ยกระดับเป็น Smart Regulation Zone
4. พัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรม โดยวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนเพื่ออุตสาหกรรมอนาคต นำมาออกแบบหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะ ทั้งในรูปแบบ Degree และ Non-Degree นำไปสู่การปฏิบัติงานจริงในสถานการประกอบการต่อไป
ผอ.สิรินยา ยังระบุด้วยว่า จากข้อจำกัดทั้งเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง เรื่องของเงินลงทุน และเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมกลางน้ำที่ต้องลงทุนด้านนวัตกรรม อย่างเรื่องสารสกัดต่างๆ อีกมาก ทำให้มีภาคเอกชนจำนวนไม่กี่รายที่มีความพร้อม ขณะเดียวกันการส่งเสริมให้ภาคเกษตรกรพัฒนาพืชผลทางการเกษตร สมุนไพรให้ได้มาตรฐาน สามารถนำมาต่อยอดในการผลิตสารสกัดได้ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน
สอวช. ได้มีการสร้างความร่วมมือกับหลายภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาครัฐในกระทรวงต่างๆอาทิ สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย หอการค้าไทยในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต หรือ Future Food ของไทยให้สามารถยกระดับสินค้า และเพิ่มมูลค่าการส่งออกมากขึ้น โดยสนับสนุนและส่งเสริมให้ทั้งภาคการศึกษา ภาคเอกชน และสตาร์ทอัพในการผลักดันให้อุตสาหกรรม Future Food เติบโตมากขึ้น เพราะปัจจุบันสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การต่อยอดอุตสาหกรรมอาหาร จะช่วยลดภาระทางการแพทย์ ข้อมูลพบว่า รัฐใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาทในการดูแลผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ซึ่ง 57% ของผู้บริโภคทั่วโลกสนใจเกี่ยวกับสุขภาพ
“อว. มีกองทุนวิจัย มีหน่วยงานที่ให้ทุนต่างๆ และมีโจทย์ที่ชัดเจนจากภาคอุตสาหกรรม การให้ทุนวิจัยจึงเป็นแบบพุ่งเป้าอย่างชัดเจน ซึ่งตอนนี้เรื่องของ Future Food รวมถึงสารสกัดต่างๆ มีนักวิจัยทั่วโลกเริ่มต้นในเรื่องนี้ ผู้ประกอบการไทยและนักวิจัยสามารถต่อยอดสิ่งที่ทั่วโลกมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีระบบนิเวศ มีการนำเครื่องมือ หรือแพลตฟอร์มเข้ามาประสานให้แหล่งทุนเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและนักวิจัยมากขึ้นด้วย” นางสาวสิรินยา กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี