4 ก.พ.61 นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมมอบนโยบายทิศทางการจัดการศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทย แก่ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ มรภ.ที่ต้องยกระดับตนเองเพื่อให้มีศักยภาพตอบโจทย์ประเทศและตอบโจทย์ชุมชนให้ได้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการก่อตั้งราชภัฏ ดังนั้น มรภ.จะต้องดำเนินการต่อจากนี้ คือ 1.การพัฒนาท้องถิ่น มรภ.จะต้องระดมสรรพกำลังในการพัฒนาทางวิชาการ ระบบข้อมูล สารสนเทศ ตลอดจนกลไกการเตรียมความพร้อมในการช่วยพัฒนาและแก้ปัญหาให้ท้องถิ่น การสร้างอาชีพให้มั่นคง เน้นความร่วมมือกับภาคประชารัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่
นพ.อุดม กล่าวต่อว่า ส่วนข้อที่ 2.คือการผลิตและพัฒนาครู เพราะครูในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศ 70 - 80% มาจาก มรภ.แต่ก็มีปัญหาในเรื่องคุณภาพครู เพราะฉะนั้น มรภ.ต้องเร่งปรับปรุงรูปแบบการผลิตใหม่ โดยต้องพัฒนาอาจารย์ผู้สอน เพื่อสร้างครูในศตวรรษที่ 21 ที่มีขบวนการเรียนการสอนสำหรับเด็กในยุคใหม่ ที่จะต้องมีความรู้ในเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ประเทศให้ได้ รวมถึงจะต้องปลูกฝังทั้งความเก่ง และความดีให้กับเด็กด้วย และปลูกฝังเรื่องทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในอนาคต ทั้งหมดนี้ได้ให้ มรภ.ไปทบทวน ซึ่ง มรภ.มีต้นทุนเดิมอยู่แล้วในฐานะวิทยาลัยครู ดังนั้น หาก มรภ.ร่วมกันพัฒนาอย่างจริงจังจะประสบความสำเร็จในการยกระดับตนเอง และยังเป็นฐานสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาด้วย
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ มรภ.ทำหน้าที่พัฒนาครูสอนภาษาอังกฤษต้นแบบทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ศธ.ได้ร่วมมือกับบริติซเคาซิลในการพัฒนาครูสอนภาษาอังกฤษต้นแบบในสถานศึกษาหลายแห่ง โดยจะให้ มรภ.ช่วยสร้างครูภาษาอังกฤษต้นแบบที่จะออกไปพัฒนาครูในพื้นที่ข้างนอกด้วย และขณะนี้ ศธ.ได้เจรจากับทางสถานทูตฟินแลนด์ ในการที่จะให้เข้ามาช่วยในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการจัดการเรียนการสอนของ มรภ.ทั้ง 38 แห่งด้วย โดยใช้มาตรฐานฟินแลนด์ ซึ่งในเบื้องต้นจะเริ่มเรื่องการพัฒนาครูก่อน
"เวลานี้ มรภ.เข้าใจบทบาทของตนเองมากขึ้น ที่ผ่านมา มรภ.มีความกังวลถึงว่าต้องก้าวสู่นานาชาติด้วย แต่หน้าที่หลักของ มรภ.จะต้องช่วยพัฒนาท้องถิ่นก่อน เพราะ มรภ.เป็นตัวเชื่อมหลักในการพัฒนาท้องถิ่นก่อนที่จะตอบโจทย์ประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้ฝากให้ทบทวนด้วยว่าหลักสูตรใดที่ไม่ตอบโจทย์ประเทศ หรือจบมาเด็กไม่มีงานทำ อาจจะต้องลดปริมาณการรับนักศึกษาลง ซึ่งไม่ได้บอกว่าให้เลิก แต่เวลานี้ประเทศกำลังขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งใน 5 - 10 ปี จะต้องเน้นสัดส่วนการผลิตกลุ่มวิทย์ฯ แต่ไม่ใช่เลิกสายสังคมเพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติมเต็มความเป็นมนุษย์ ยืนยันว่าไม่ได้ตัดงบประมาณเพียงแต่จะต้องปรับสัดส่วนการผลิตให้ตอบโจทย์ ซึ่งการสนับสนุนก็จะดูตามความเหมาะสมและบริบทในพื้นที่เป็นหลัก" นพ.อุดม กล่าว
รมช.ศธ.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนได้ขอความร่วมมือ มรภ.ในการนำนักศึกษาและบุคลากรซึ่งมีอยู่กว่า 5 แสนคน เข้าร่วมโครงการจิตอาสา เราทำดีด้วยหัวใจ เพื่อสนองพระราโชบาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีพระเมตตาต่อ มรภ.มาโดยตลอด ผมจึงขอให้ มรภ.ทุกแห่งเข้าร่วมโครงการจิตอาสา เราทำดีด้วยหัวใจ เพื่อให้เด็กได้ฝึกจิตอาสาในชุมชนหรือท้องถิ่นที่ตนเองอยู่อย่างจริงจัง เพราะจิตอาสาเป็นเรื่องสำคัญหากเราปลูกฝังนิสัยติดตัวเด็กที่จะไปทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นเป็นหลัก เช่น การช่วยเหลือชุมชน สังคม ก็จะทำให้ประเทศได้รับการเปลี่ยนแปลงหรือมีการพัฒนาที่ดีขึ้น
ด้าน ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดี มรภ.กล่าวว่า มรภ.พร้อมสนองพระราโชบายของในหลวงรัชกาลที่ 10 ในการดูแลแก้ปัญหาชุมชน และจะตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในบทบาทของมหาวิทยาลัยราชภัฎ เช่น พัมนาคนในท้องถิ่นให้มีความรู้ความมีคุณภาพให้สามารถอยู่ในสังคม และจะมีการปรับเปลี่ยนบางหลักสูตรจะปฏิรูปอย่างเต็มที่ การผลิตครูที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันเราก็พร้อมปรับตัวให้ทันโลก และยกระดับคุณภาพการผลิตนิสิต นักศึกษาด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี