‘พญาเสือ’แฉยับเล่ห์‘นายทุน-นักการเมือง’เขมือบป่า ยก‘ชุมพร’เคสตัวอย่างชี้ลุกลามทั่วปท.
7 เม.ย.61 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าหน่วยพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า ตนและ เจ้าหน้าที่ในทีมได้สำรวจร่องรอยการบุกรุก เก็บหลักฐานเป็นภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว และภาพมุมสูง เพื่อไว้เป็นหลักฐานแสดงว่ารูปแบบการบุกรุกพื้นที่ป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ(ตอนบน) มีหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบขึ้นอยู่กับประเภทของป่า เช่น ถ้าเป็นป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น หรือป่าเบญจพรรณ(ป่าไผ่) นั้น การบุกรุก มีรูปแบบที่ต่างกัน แต่หลังจากการบุกรุกป่าจนหมดสภาพป่าแล้ว จะเห็นแต่พืชเชิงเดี่ยวที่ปลูกเหมือนกันทั้งป่า เช่น สวนยางพารา และสวนปาล์ม หรืออาจจะมีไม้ผลยืนต้นปนไปบ้าง ก็จะมีแค่ต้นทุเรียนและมังคุด เท่านั้น
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า สวนไม้เชิงเดียวรุกป่าอย่างรวดเร็ว และทำกันเป็นขบวนการมาอย่างยาวนาน รูปแบบที่เหมือนกันครั้งแรกที่แอบเข้ามาปลูก คือ นำกล้าหรือเมล็ดของยางพาราเข้าไปปลูกแทรกในป่าธรรมชาติ ปลูกยึดพื้นที่ของใครของมัน ใครใหญ่มีอิทธิพลมากก็ได้มาก มีเงินทุนมากก็ยึดและนำเมล็ดยางพาราปลูกยึดให้ได้มากที่สุด ส่วนรายย่อยที่ย้าย หรือเดิมเป็นผู้รับจ้าง ก็หาพื้นที่บุกรุกยึดครอบครองที่ดินแปลงใหม่ที่ไกลกว่านายทุน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หลังจากมีการเข้ามายึดปลูกยางพาราแทรกป่า ในพื้นที่ที่นายทุนหมายขอบเขตหมดแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ บุกรุกแบบนี้ ทุกปี ทุกเวลา ที่มีโอกาส
เมื่อยางพาราโตสัก 4-5-6 ปี ใหญ่พอที่จะไปขายต่อให้กลุ่มทุนหรือนายทุนใหญ่ มาซื้ออีกที ทำเป็นขบวนการแบบนี้ มายาวนาน และราคายางเริ่มสูงขึ้น การบุกรุกพื้นที่ป่า เริ่มขยายวงกว้างขึ้น คนบุกรุก มามากขึ้น มาหลายที่หลายจังหวัด มากขึ้น สืบเนื่องจาก การบอกต่อ และการยึดครอบครองที่ดิน ของรัฐ ซึ่งในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐ ขาดความรับผิดชอบ และ เป็นช่วงที่การเมืองรุ่งเรือง เจ้าหน้ารัฐ โหยหาแต่ตำแหน่ง จึงเป็นผลให้ป่า ทั่วประเทศ ลดลงอย่างรวดเร็ว มิใช่ป่าที่นี่แห่งเดียว
“ที่เป็นอย่างนี้ ชาวบ้าน ผู้นำ ข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น และระดับชาติ อ้างว่าประชาชนขาดพื้นที่ทำกิน และ เจ้าหน้าที่รัฐ อ้างแต่จะใช้กฎหมายในการควบคุมพื้นที่ป่า โดยไม่คำนึงถึง ชาวบ้านที่ยากจน ยากไร้ ไร้ที่ทำกิน กฎหมายนำมาใช้ ไม่ได้เต็มรูปแบบ โดนนักการเมือง ครอบงำ โดนอำนาจเงินครอบงำ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เห็นแกประโยชน์ส่วนตน และเห็นแก่ตำแหน่งหน้าที่ ที่นักการเมือง หรือผู้ที่ว่าจะให้ อ้างว่าใหญ่กว่าศักดิ์ศรี ยอมให้ป่าหมดไป” นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า รูปแบบแรก คือ ปลูกแซมในป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา และป่าดิบแล้ง รูปแบบนี้ ต้องตัดโคนต้นไม้ยืนต้น ตามภาพที่แสดงให้เห็น ป่าจำพวกนี้เป็นป่าต้นน้ำ เป็นป่าที่เก็บน้ำ และเป็นป่าเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะสัตว์เรือนยอด เช่นชะนี ค่าง นก และสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สมเสร็จ กระทิง กวาง และเก้ง สัตว์ป่าอื่นๆอีกมากมาย
การโคนป่าทิ้งเพื่อเพียงแค่ ให้ได้พื้นที่เพื่อเอา ต้นยางพารา ของตนให้ยืนต้นแทนไม้ป่า เพื่อแสดงสิทธิเป็นเจ้าของป่านั้นๆ คนกลุ่มนี้ มีที่อ้างตัวว่า ขาวบ้านยากจน อ้างว่าเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี้มาก่อน และจะพูดกันในกลุ่มว่า “นี่คือความสำเร็จ ที่ยึดครอบครองที่ดินได้” แล้วจะวางแผนกันต่ออีกว่า ปีหน้า เขาจะไปทำกันที่ไหน หรือจะบุกรุกที่ดินต่อกันที่ไหนอีก
“คนพวกนี้พูดว่า “นี่คือความสำเร็จ” ปีแรกเรามีเงินทำได้เท่านี้ เมื่อเรามีเงินอีก เราก็ทำเพิ่ม ไปเรื่อยๆ เพราะเรายากจน นั้นคือคำพูด หลายๆคน ที่ยอมรับสารภาพมาแบบนั้น นี่คือการบุกรุกครับ ไม่ใช่การได้ที่ดินมาแบบสุจริตถูกต้อง การยึดถือครอบครองกลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ใครๆ ก็ทำได้ไปเสียแล้ว”
หัวหน้าหน่วยพญาเสือ กล่าวต่อว่า ส่วนรูปแบบที่สอง คือ การปลูกยางพารา แทรกให้เป็นแถวในป่าไผ่หรือป่าเบญจพรรณ รูปแบบสอง รูปแบบนี้ทำง่ายกว่า ปลูกได้เร็วกว่า ฉะนั้นป่าที่นี่ ที่เป็นป่าเบญจพรรณ แถบไม่เหลือเลย แต่ที่แย่ไปกว่านั้น การที่จะยึดป่าไผ่ แบบนี้ ทำได้แย่ไปกว่านั้นคือ การเผา เผาทั้งป่า เพราะป่าไผ่ แค่ไปตัดโคนทิ้งบางส่วน ให้เป็นเชื้อเพลิง เวลาเผาก็จะไหม้ทั้งหมด หมดทั้งป่า รวมถึงเข้าไปในป่าดิบนั้นๆด้วย
“ร่องรอยความเสียหาย ที่เกิดจาก การที่ไม่มีที่ทำกิน หรือ เกิดจากความไม่พอ ของชาวบ้าน ของนายทุน ของนักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ รวมถึงข้าราชการที่ทุจริตต่อหน้าที่และการใช้อำนาจในทางที่ผิด ที่นี่ มันเกิดขึ้นแล้ว” นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ถูกโคนนับแสนนับล้านต้น ในป่าสงวนป่าไชยราช-ป่าคลองกรูด ที่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ (ตอนบน) ที่ประกาศให้มีเนื้อที่ มากกว่า 180,000 ไร่ เมื่อปี 2537 ที่มาหรืออาจจะใช้คำพูดได้ว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 30 มิถุนายน 2541 นั้นเป็นต้นเหตุของการบุกรุกนั้นก็ได้ การชลอล่อเลี้ยง มติฯนี้ เรื่อยๆมาของแต่ละรัฐบาล เพื่อดูแลประชาชนยากจน หรือเพื่อใช้อำนาจในหน้าที่ของตน ครอบครองที่ดินโดยผ่านขบวนการสำรวจเพิ่มเติม ตกหล่น คนที่ยังไม่ได้สำรวจในป่าสงวนแห่งชาติต่างๆ ทั่วประเทศ ที่นักการเมืองนั้นมีเป้าหมาย หมายปองที่บริเวณนั้น แต่มันกลับมาถูกทำลาย ทั่วประเทศ อย่างที่เห็น
“ข้าราชการ หรือระบบราชการที่มีกฎหมายเข้มแข็งแค่ไหน ก็ทานไม่อยู่หรอกครับ เพราะการรุกคืบ การหาที่ดินทำกินในป่า เริ่มกระจายตัว เป็นวงกว้าง และไม่มีวันจบ”
หัวหน้าหน่วยพญาเสือ กล่าวต่อว่า พื้นที่ในกรมหลวงฯแห่งนี้ เมื่อปี 2537-2541 เคยสำรวจให้ราษฎร ที่ทำกินในระหว่างปีนี้ ไปแล้ว ประมาณ 7,800 กว่าไร่ ต่อมามีการรุกคืบ บุกรุกยึดถือครอบครองอีก ประชาชน ที่อ้างตัวว่ายากจน เรียกร้องสิทธิ ขอที่ทำกินในป่าอนุรักษ์เพิ่ม เป็นช่องทาง ของการเมือง เปิดให้สำรวจตกหล่น ต่อจากปี 2541 -2545 นั้น ถือว่าเป็นรอบสอง ป่าแห่งนี้ สำรวจเพิ่มตามคำสั่ง เปิดภาพถ่ายจากดาวเทียม และ ภาพถ่ายปี 2545 ที่สมบูรณ์ มีการถ่ายทั่วประเทศ มาดู และวางแปลง คร่าวๆ พบว่า ป่ากรมหลวง มีการบุกรุกเพิ่มขึ้น จากเดิมที่สำรวจไว้แล้ว เพิ่มขึ้นใหม่อีก ไม่น้อยกว่า 23,000 ไร่ แสดงว่า เพียง แค่สีปี จาก 2541-2545 มีคนเข้ามาบุกรุกยึดถือครอบครองป่าแห่งนี้เพิ่มอีก กว่า 23,000 ไร่
ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 นี้ยังถือใช้อยู่ และเมื่อรัฐบาลยังใช้ชู นโยบาย “คนอยู่กับป่า”ได้นั้น ต่อจากมีการบุกรุกเพิ่ม รัฐสำรวจตกหล่นให้ ในช่วง ปี 2542-2545 ป่าถูกชาวบ้านเข้ามายึดครอบครอง ไป 23,000 ไร่ และ ต่อจาก ปี 2545 มาจนถึง ปี 2560 มีชาวบ้านทั้งกลุ่มเดิม และนายทุนกลุ่มใหม่ เข้ามาเปิดพื้นที่ บุกรุกเพิ่มอีก ไม่น้อยกว่า 22,000 ไร่
“ขณะนี้เวลานี้ ป่าแห่งนี้ มีคนเข้าบุกรุกเพิ่มจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยพญาเสือร่วมกับสำนักบริการพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี และทหารพรานและตำรวจตระเวนชายแดน ครั้งนี้ ใช้การปราบปรามแบบนำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม และการเดินสำรวจทางภาคพื้นดิน เข้ามาร่วมกัน ทำให้แผนงานเห็นเป็นภาพที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น พบว่าป่าแห่งมีคนบุกรุกเพิ่ม ขึ้นอีก ไม่น้อยกว่า 22,000 ไร่ (สองหมื่นสองพันกว่าไร่) นั้นคือมันคงไม่จบ แค่นี้ ถ้ารัฐไม่ชูนโยบาย การคุ้มครองพื้นที่ป่า การนำกฎหมายมาใช้อย่างเคร่งครัด ถูกต้องและเป็นธรรมนั้น ป่าไม้ ที่เป็นทรัพย์สินของคนทั้งชาติ อีกไม่นาน คงหมดไป” นายชัยวัฒน์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก ทีมพญาเสือ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี