“ยางพารา” พืชที่เป็นสัญลักษณ์ของ ภาคใต้ มานานหลายทศวรรษ ทว่าไม่กี่ปีล่าสุด “ราคาผลผลิตยางตกต่ำ” และยังไม่รู้ว่าจะกลับมาดีขึ้นเมื่อใด จนมีการเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาแม้ปัจจุบันด้วยความเป็นรัฐบาลทหารการชุมนุมประท้วงจะทำได้อย่างจำกัดก็ตาม ซึ่งลำพังจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้เจอวิกฤติเช่นนี้ก็ว่าหนักแล้ว ยิ่งเป็น “3 จังหวัดชายแดนใต้ : ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส” ที่ลำพังก็มีปัญหาความไม่สงบ ผู้คนไม่กล้าเดินทางไปท่องเที่ยวอยู่แล้ว วิกฤติราคาสินค้าเกษตรก็ยิ่งทำให้มีผลกระทบเป็นทวีคูณ
ถึงกระนั้นก็มีความพยายามแสวงหา “ทางรอด” ในยุคพืชหลักของชาวใต้ราคา “ดิ่งเหว” เช่นนี้ อย่างกรณีของ “อำเภอแว้ง” ในจังหวัดนราธิวาส ประชาชนในพื้นที่เริ่มหันกลับไป “ฟื้นฟูการปลูกข้าว” หลังละทิ้งมานานหลายปี
โดย มูฮำหมัด บิง ผู้อำนวยการโรงเรียนชาวนาบ้านละหา เล่าว่า เมื่อปี 2548 ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ดือเลาะ สะอะ มีความกังวล หลังจากที่เห็นพื้นที่นาลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะก่อนหน้านั้นชาวบ้านต่างทิ้งนาไปทำสวนยางกันหมด
ประกอบกับในปี 2547 ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องความมั่นคงในพื้นที่ ทำให้เป็นห่วงว่าลูกหลานจะขาดแคลนอาหารเหมือนในอดีตที่รัฐบาลเคยจำกัดการซื้อขายข้าวในพื้นที่ให้ครอบครัวละ 5 กิโล เพราะเกรงกลัวผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ ทำให้วงเสวนาของผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชน เช่น หลังการละหมาดหรือตามร้านน้ำชา มีการพูดกันเสมอๆ ว่า “ยางคือลูกเลี้ยง..ข้าวคือลูกแท้” ในที่สุดก็เห็นว่าควรจะต้องฟื้นนาร้างกลับมา จึงเริ่มชักชวนชาวนาในหมู่บ้านประมาณ 7-8 คน ฟื้นนาร้างที่มีอยู่เกือบ 200 ไร่
มูฮำหมัด เล่าต่อไปว่า การเริ่มต้นทำนาครั้งแรกจึงเกิดขึ้นในปี 2549 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างชาวชุมชนและภาครัฐคือเกษตรอำเภอ ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 35 (ฉก.นราธิวาส35) และสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้มาทำโรงเรียนชาวนา สร้างโรงสีข้าวและอุปกรณ์ในการทำนา แม้ช่วงแรกๆ จะยากในการหาสมาชิกเพิ่ม แต่ต่อมาก็สามารถสร้างการเรียนรู้ จนเพิ่มสมาชิกชาวนาจากเดิม 7-8 ครัวเรือนมาเป็น 13 ครัวเรือนใน 1 ปี และในปัจจุบันมีสมาชิกชาวนาเพิ่มมากขึ้น 35 ครอบครัว
ไม่เฉพาะการมีอาหารที่พอเพียงและมีรายได้พอยังชีพเท่านั้น แต่ “สุขภาพต้องดีด้วย” มูฮำหมัด ระบุว่า เคยมีการตรวจสุขภาพชาวบ้านในพื้นที่ แล้วพบว่า“มีสารเคมีตกค้างในเลือดสูง”การฟื้นนาร้างในครั้งนี้จึงตั้งเป้าว่า “ต้องทำด้วยเกษตรอินทรีย์” ดังนั้นจึงเป็นการทำนาที่ได้มากกว่าข้าว เพราะได้สุขภาพที่ดีกลับมา ได้วิถีดั้งเดิมเพราะในนายังมีปลาให้จับมากินเป็นอาหารเพิ่มมากขึ้นด้วย
“การสร้างอาหารในชุมชนถือเป็นความมั่นคงที่ยั่งยืน วันนี้ราคายางพาราตกต่ำให้ชาวชุมชนหันมาสนใจที่จะฟื้นนาร้างมากขึ้น จากเดิมที่ฟื้นนาร้างแค่ชุมชนละหาน ตอนนี้ขยายร่วมกัน 6 ตำบล ประกอบด้วย ต.โล๊ะจูด ต.แว้ง ต.เอราวัณ ต.ฆอเลาะ ต.แม่ดง ต.กายูคละ เป็นเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่อำเภอแว้ง ตั้งมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่ความมั่นคงทางอาหาร โดยจะร่วมกันฟื้นนาร้าง 200 ไร่ ร่วมกัน” มูฮำหมัด กล่าว
ขณะที่ จุฑามณี หามะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แว้ง กล่าวว่า การปฏิญญาร่วมกันในการฟื้นนาร้างของชาวชุมชน 6 ตำบล ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีเพราะชุมชนหันกลับมาสร้างแหล่งอาหารของตัวเอง จากเดิมที่เคยเป็นวิถีเก่าๆ ซึ่งในอดีตเคยมีทุ่งนากว้างขวางตอนนี้กลายเป็นสวนยาง ชาวนาส่วนใหญ่ก็ซื้อข้าวกิน การกลับมาทำนาใหม่โดยเฉพาะการ
ทำนาอินทรีย์จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของชาวชุมชน ในภาวะที่ราคายางไม่ได้สูงเหมือนเดิม เป็นการพึ่งพาตนเองแบบพอเพียงแบบหนึ่ง
เด็กๆ เรียนรู้วิถีชาวนาร่วมกับผู้ใหญ่ในชุมชน
ซึ่งปฏิญญา “เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่อำเภอแว้ง ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่ความมั่นคงทางอาหาร” มีเป้าหมาย 4 ประการคือ 1.ร่วมกันทบทวนปฏิบัติการตนเอง จนเป็นวิถีชุมชนเพื่อบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในเป้าหมายที่ 2 เรื่องขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนอันสอดคล้องกับทิศทางของประเทศไทยและสอดคล้องกับเป้าหมายที่สังคมโลกได้ตกลงกันไว้
2.การอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวท้องถิ่น โดยในปัจจุบันได้อนุรักษ์และดำเนินการส่งเสริมการเพาะปลูกพันธุกรรมข้าวท้องถิ่น 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ซือรีบูกันตัง และพันธุ์มะจานู และจะดำเนินการรวบรวมและอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวท้องถิ่นเพิ่มเติม อันส่งผลให้เกษตรกรมีความรัก ความหวงแหนในบ้านเกิด มีธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชที่มีการจัดการที่ดี 3.ขับเคลื่อนให้เกิดการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยในปัจจุบันมีครัวเรือนเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน 60 ครัวเรือน จำนวนกว่า 200 ไร่
และ 4.แสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการค้นหาและกระตุ้นให้เกิด “โรงเรียนชาวนา” ในตำบลและอำเภอในจังหวัดนราธิวาส เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสานเครือข่ายและให้เกษตรกรที่สนใจได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ที่นำไปสู่การทำนาได้จริง และทำนาได้มากกว่าข้าว ทั้งนี้ สุรพล พร้อมมูล ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสก็กล่าวเช่นกันว่า พร้อมสนับสนุนและกำหนดให้เป็นนโยบายของจังหวัดในการฟื้นนาร้าง โดยจะขยายไปในเขตอำเภออื่นๆ รวมทั้งเป้าหมายในเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ เพราะการหันกลับมาทำนาจะช่วยลดความเสี่ยงของชุมชน
โดยเฉพาะในช่วงที่ราคายางตกต่ำ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี