"นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญตปท."แนะลดการเผาไหม้แก้วิกฤตฝุ่นควัน เชื่อ"รถไฟฟ้า-บุหรี่ไฟฟ้า"ช่วยได้
24 มิ.ย.62 ที่โรงแรมสุโกศล กทม. ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในระหว่างการสัมมนาหัวข้อ "ฝุ่น PM2.5 กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเกิดมะเร็งตลอดช่วงชีวิต" ถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเผาไหม้ ว่า ปัญหาเรื่องฝุ่นละอองในภาคเหนือของประเทศไทยที่เกิดจากการเผาป่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี มีสารอันตรายไม่ว่าจะเป็นสารก่อมะเร็ง ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารก่อการกลายพันธุ์ และโลหะหนัก
ศ.ดร.ศิวัช กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควันก็คือต้องช่วยกันลดการเผาป่า ป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ป่า ลดการใช้รถยนต์ แต่บางครั้งกิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นมลพิษที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องหาแนวทางใหม่ หรือที่เรียกว่า การลดอันตราย หรือ Harm Reduction โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยลดเรื่องการเผาไหม้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) รวมทั้งรถเมล์ไฟฟ้า ตลอดจนบุหรี่ไฟฟ้า ที่ไม่ก่อให้เกิดการไหม้ ก็จะช่วยลดสารพิษที่จะปล่อยออกมาสู่บรรยากาศได้ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยภาคประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือ ภาคเอกชนก็ต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่จะมาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่มีการเผาไหม้ ในขณะที่ภาครัฐก็ควรต้องมีมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่มีการเผาไหม้ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาและแก้ปัญหาฝุ่นละอองได้อย่างแท้จริง
"ในฐานะนักวิชาการ เราอยากเห็นมาตรการลดพิษภัยจากมลภาวะในสิ่งแวดล้อมที่แก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติได้จริง และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของสังคมปัจจุบัน" ศ.ดร.ศิวัช ระบุ
ด้าน ดร.อเล็กซ์ วอแดค (Alex Wodak) ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมมูลนิธิปฏิรูปกฎหมายด้านยาเสพติดและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดอันตราย (Harm reduction) โดยเฉพาะการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดและบุหรี่ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลักการลดอันตรายเป็นที่ยอมรับในวงการสาธารณสุขมานานแล้ว และสามารถนำมาใช้กับการลดอันตรายจากควันบุหรี่ได้ เพราะบุหรี่เองก็มีการเผาไหม้ ซึ่งก่อให้เกิดควันที่นอกจากจะมีนิโคตินระเหยออกมาแล้ว ยังมีสารอันตรายที่ก่อมะเร็งด้วย ดังนั้น หากเราต้องการลดอันตรายต่อสุขภาพให้กับผู้สูบบุหรี่ ก็สามารถทำได้โดยการให้ผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคตินทดแทน แต่ไม่มีการเผาไหม้ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า ซึ่งมีหลากหลายประเภท และกำลังได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology) ที่กำลังมาทำลายบุหรี่ธรรมดา โดยมีผลการศึกษาที่คาดว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับบุหรี่ แนวทางนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ , อังกฤษ และสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศต่างๆ เหล่านี้ก็มีตัวเลขของผู้สูบบุหรี่ลดลงมากกว่าประเทศที่ไม่มีการอนุญาตให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างเห็นได้ชัด
"สวีเดนเป็นตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านการลดอันตรายจากยาสูบ โดยมีทางเลือกให้ผู้สูบบุหรี่สามารถใช้สนุซ (ยาสูบแบบอมโดยไม่ต้องมีการเผาไหม้) แทนการสูบบุหรี่ได้ ซึ่งทำให้อัตราผู้สูบบุหรี่และอัตราผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ในประเทศสวีเดน ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปที่แบนสนุซ" ดร.วอแดค กล่าว
ส่วนข้อกังวลที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเป็นปัจจัยทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกต่อต้านในประเทศไทยนั้น ดร.วอแดค กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่ถูกใช้ในทุกๆ ประเทศ แต่จากการเก็บข้อมูลในหลายประเทศที่มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้า พบว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำให้คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือเลิกบุหรี่มวน ซึ่งหากพูดในแง่นโยบายด้านสุขภาพของรัฐให้ดีขึ้นนั้น บุหรี่ไฟฟ้าถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคน้อยกว่ายาสูบทุกประเภท ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลของไทยหันมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี