พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระราชทานแนวพระบรมราโชบายของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ให้หน่วยงานราชการรวมถึงพสกนิกร ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ด้วยทรงตระหนักดีว่า ศาสตร์พระราชานั้นได้ผ่านการคิด กลั่นกรอง ปฏิบัติ และพัฒนา จนเป็นรูปธรรมชัดเจนมาแล้วทั้งสิ้น เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยและในระดับนานาชาติ
“กรมชลประทานได้ยึดถือ สืบสาน ต่อยอดศาสตร์พระราชา มาใช้พัฒนาแก้ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรมชลประทานภายใต้กรอบแนวคิด “RID No.1” ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน
ศาสตร์พระราชาเรื่อง “โครงข่ายอ่างเก็บน้ำ” หรือ“อ่างพวง”ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริดำเนินโครงการในพื้นที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี 2532 และแล้วเสร็จสมบูรณ์ปี 2549 ทำให้ผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากมาช่วยอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด และก่อให้เกิดความมั่นคงในเรื่องน้ำในพื้นที่นั้น
กรมชลประทานยึดศาสตร์พระราชา “อ่างพวง” ดังกล่าวมาสืบสาน ต่อยอด แก้ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมาขยายผลดำเนิน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลังงาน ยานยนต์ของไทยในอนาคต ตลอดจนสร้างความมั่นใจด้านการท่องเที่ยว ซึ่ง 3 จังหวัดดังกล่าวยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และที่สำคัญยังทำให้ภาคเกษตร มีน้ำที่อุดมสมบูรณผลิตผลไม้คุณภาพดีระดับโลกอีกด้วย
อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า แม้ปัจจุบันปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้ในพื้นที่ EEC จะมีเพียงพอกับความต้องการทุกภาคส่วนก็ตาม แต่ในอนาคตความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น กรมชลประทานจึงนำศาสตร์พระราชาในเรื่องอ่างพวง มาวางแผนเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้พื้นที่ EEC โดยสร้างระบบผันน้ำเชื่อมโยงระหว่างอ่างเก็บน้ำที่สำคัญเข้าด้วยกันเป็นโครงข่าย ซึ่งจะสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจแล้ว ทำให้ภาคการเกษตรมีน้ำสมบูรณ์เพียงพอด้วย ปัจจุบันมีการเชื่อม โยงอ่างเก็บน้ำต่างๆ เข้าด้วยกันโดยระบบท่อส่งน้ำ คลองส่งน้ำ และลำน้ำธรรมชาติ เป็นโครงข่ายแล้วส่วนหนึ่ง แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงให้พื้นที่ EEC ในอนาคต
ดังนั้น กรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำของพื้นที่ EEC ในอีก 20 ปี โดยในส่วนที่กรมชลประทานรับผิดชอบประกอบด้วย สร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ 10 แห่ง รวมปริมาณความจุ 208.7 ล้านลบ.ม. ปรับปรุงแหล่งน้ำ 6 แห่งที่มีอยู่เดิมเก็บน้ำได้เพิ่ม 91.5 ล้านลบ.ม. ปรับปรุงเครือข่ายน้ำเดิม คือ เครือข่ายน้ำอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล สร้างระบบเครือข่ายผันน้ำพานทอง-อ่างเก็บน้ำบางพระ และเครือข่ายน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนอค้อ-อ่างเก็บน้ำบางพระ ผันน้ำได้ 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี เครือข่ายน้ำคลองวังโตนด-อ่างเก็บน้ำประแสร์ และเครือข่ายน้ำคลองโพล้-อ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้ปริมาณน้ำรวม 75 ล้านลบ.ม.ต่อปี สร้างระบบสูบน้ำกลับคลองสะพานอ่างประแสร์เส้นที่ 1 และ 2 สูบน้ำกลับรวมปริมาณได้ 100 ล้านลบ.ม.ต่อปี ระบบสูบน้ำกลับคลองหลวง และระบบสูบน้ำกลับอ่างเก็บน้ำสียัด ได้ปริมาณน้ำรวม 31 ล้านลบ.ม.ต่อปี และสร้างอุโมงค์ส่งน้ำคลองพระสะทึง-อ่างเก็บน้ำสียัด ได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 60 ล้านลบ.ม.ต่อปี
นอกจากนี้ ยังขุดลอกคลองในพื้นที่ชลประทาน ปรับปรุงประสิทธิภาพชลประทานและทบทวนพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งจะทำให้ได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอีก 7 ล้านลบ.ม. พร้อมทั้งพัฒนาพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากเป็นแก้มลิง จะได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอีก 200 ล้าน ลบ.ม.
ดร.ทองเปลวกล่าวว่า ศาสตร์พระราชาในเรื่องอ่างพวงนั้น แก้ปัญหาน้ำได้อย่างมีประสิทธิ เช่นในฤดูแล้งปีนี้ ภาคตะวันออกมีฝนตกต่ำกว่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 40 โดยเฉพาะที่จังหวัดชลบุรี ปริมาณฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยเกือบร้อยละ 50 ส่งผลให้แหล่งเก็บน้ำหลักของจังหวัด คือ อ่างเก็บน้ำบางพระ มีปริมาณน้ำใช้การได้เพียง 52.7 ล้านลบ.ม. หรือนประมาณร้อยละ 50 ของปริมาณการกักเก็บ ในขณะที่อ่างเก็บน้ำหลักอีกทั้ง 5 แห่งของเมืองพัทยา มีปริมาณน้ำใช้การรวมกันพียง 13.8 ล้านลบ.ม. ถือว่าน้อยกว่าความต้องการใช้น้ำของเมืองพัทยา คือ วันละ 200,000 ลบ.ม. หรือปีละ 70 ล้านลบ.ม.
กรมชลประทานได้วางแผนส่งน้ำเสริมให้เมืองพัทยาโดยใช้โครงข่ายน้ำ อีกวันละ 100,000 ลบ.ม.เพื่อไม่ให้เมืองพัทยาเกิดวิกฤตขาดน้ำ โดยจะผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำบางพระมาเพิ่มเติมให้ แม้อ่างเก็บน้ำบางพระจะมีปริมาณน้ำเพียงแค่ครึ่งของปริมาณเก็บกัก แต่กรมฯใช้ระบบโครงข่ายน้ำที่มีอยู่มาใช้แก้ปัญหา ด้วยการผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยยานุชิตมาเติมวันละ 500,000 ลบ.ม. และจากแม่น้ำบางปะกงมาเติมอีกวันละ 100,000 ลบ.ม.จะทำให้มีน้ำมาสำรองเพียงพอส่งน้ำให้เมืองพัทยา นอกจากนี้ ยังสามารถผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลมาเติมที่อ่างเก็บน้ำบางพระได้อีกด้วย จึงมั่นใจได้ว่าเมืองชลบุรี และเมืองพัทยามีน้ำเพียงพอใช้ในทุกกิจกรรมในช่วงฤดูแล้งนี้อย่างแน่นอน
“การสืบสานศาสตร์พระราชาในเรืิ่องอ่างพวง นำมาต่อยอด ขยายผลใช้วางแผนแก้ปัญหาและสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC ควบคู่กับแผนงานด้านอื่นๆที่ได้ทำการศึกษาไว้ จะสามารถสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC ทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าวได้อย่างแน่นอน รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วย ซึ่งกรมชลประ ทานมุ่งหวังที่จะสร้างสมดุลด้านน้ำโดยการใช้โครงข่ายน้ำหรืออ่างพวงผนวกกับเครื่องมือชลประทานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดความมั่นคงด้านน้ำให้มากที่สุด พร้อมทั้งจะนำศาสตร์พระราชาในเรื่องนี้ไปขยายผลดำเนินการในพื้นที่อื่นๆที่มีลักษณะปัญหาที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย” อธิบดีกรมชลประทานกล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี