สมศักดิ์สั่งเช็คธุรกิจฟอกเงิน
ลุยยึดทรัพย์แก๊งค้ายาเสพติด
“รมว.ยุติธรรม” สั่งจับตา “กลุ่มธุรกิจต้องสงสัย” ฟอกเงินค้ายา “จำหน่ายทองแท่ง-ทองรูปพรรณ-วัสดุก่อสร้าง” เน้น บริษัทเติบโตเร็วผิดธรรมชาติภายใน1-2 ปี และกลุ่มพนันออนไลน์ ประสานสรรพากร เช็คเส้นทางการเงิน ตั้งเป้าสิงหาคมนี้ต้องอายัดทรัพย์ขบวนการค้ายาให้ได้ 1,500 ล้านบาทจากเดิม 700 ล้านบาท ขณะที่ป.ป.ส.เผากัญชาของกลาง 13ตัน ที่มีสารปนเปื้อนไม่สามารถใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ด้รายงานผลการจับกุมล่าสุด สามารถยึดของกลางยาบ้าได้ถึง 15.7ล้านเม็ด บริเวณภาคเหนือ มีการออกหมายจับ 59 คดี จับผู้ต้องหาได้ 125 คน ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีและยึดอายัดทรัพย์สิน โดยคาดว่าจะสามารถทำยอดการจับกุมได้ถึง 50 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดใหญ่และยังมีโรงงานผลิตตามจุดต่างๆซึ่งกลุ่มขบวนการค้ายาข้ามแดนก็ต้องเร่งระบายออกเพื่อนำเงินกลับสู่ประเทศต้นทางผู้ผลิต แต่การขนเงินออกนอกประเทศจำนวนมากทำได้ยาก จึงต้องมีการโอนเงินเป็นทอดๆ อาจทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามหรือตรวจสอบเงินได้ล่าช้า จึงต้องจับตาไปที่วิธีการฟอกเงินที่ผิดกฎหมาย เช่น การนำเงินจากการซื้อขายยาเสพติดไปซื้อสินค้าประเภท ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ วัสดุก่อสร้าง รวมทั้งกลุ่มพนันออนไลน์ เนื่องจากกลุ่มนี้สามารถถ่ายโอนเงินกันทุกวัน ซึ่งจำเป็นต้องจับตากลุ่มธุรกิจต้องสงสัยเป็นพิเศษว่าภายใน 1-2 ปี มีบริษัทใดเติบโตอย่างรวดเร็วจนผิดธรรมชาติ โดยประสานให้กรมสรรพากรช่วยตรวจสอบและนำมาตรการทางภาษีเข้ามาบังคับใช้ด้วย
ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อหาความเชื่อมโยง และติดตามเส้นทางธุรกรรมทางการเงินและในเดือนสิงหาคมนี้ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสามารถยึดอายัดทรัพย์กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดได้มากกว่า1,500 ล้านบาท ให้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้เพียง 700 ล้านบาทเท่านั้o
วันเดียวกัน ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ปปส.เป็นประธานในพิธีเผาทำลายกัญชาของกลางที่ไม่สามารถ นำไปใช้ในการศึกษาวิจัยและประโยชน์ทางการแพทย์ได้ จำนวนรวม 13 ตัน โดยกล่าวว่ากัญชาที่นำมาเผาทำลายในครั้งนี้ เป็นกัญชาของกลางซึ่งได้มีการตรวจพิสูจน์แล้วพบว่าไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ ประกอบกับไม่มีผู้ขอไปทำการศึกษาวิจัยเนื่องจากมีสารปนเปื้อนทั้งเคมีกำจัดศัตรูพืชและโลหะหนักเกินค่ามาตฐาน อีกทั้งยังมีเชื้อรา
โดยผลจากการตรวจพิสูจน์ยืนยันได้ว่ากัญชาที่จับยึดได้ไม่ว่าจะห่อหุ้มด้วย แผ่นฟอยล์ใดๆเช่น ม่วง แดง ทอง เงิน หรือห่อด้วยแผ่นพลาสติกทั้งที่มีด้ายแดงหรือไม่มีล้วนลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดพบมีสารปนเปื้อนไม่ว่าจะเป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือโลหะหนักมากเกินกว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยทั้งสิ้นจึงเท่ากับผู้ใช้ผู้เสพกัญชาดังกล่าวได้นำสารเคมีเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายและจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงขอแนะนำให้ผู้ใช้/ผู้เสพได้แสดงตัวเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษา
“การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ที่มีนโยบายผ่อนปรนให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่านั้น โดยสำนักงาน ป.ป.ส.ยังคงเดินหน้า ขอใช้ประโยชน์จากกัญชาที่จับยึดได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาใช้ในการสนับสนุนให้แก่หน่วยงานต่างๆเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย” เลขาธิการ ปปส.กล่าว
ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่มีความต้องการจะดำเนินการใดๆเกี่ยวกับกัญชา ขอให้ติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1556 และสายด่วนสำนักงาน ป.ป.ส. 1386 อย่างไรก็ตามกัญชายังคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย หากพบเบาะแสเกี่ยวกับการเสพครอบครอง หรือจำหน่ายกัญชาที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ได้ที่สายด่วน ป.ปส.โทร.1386 ตลอด 24 ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี