กรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์โควิดในไทย กำลังจะเข้าสู่จุดระบาดเป็นวงกว้าง มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ พบว่าตัวเลขมีแนวโน้มขาขึ้นสูงมาก โดยจะเพิ่มเป็น 2-3 เท่าทุกๆ สัปดาห์ ขณะ กทม.ผู้ติดเชื้อยังมีจำนวนมากแต่แนวโน้มชะลอตัวลง ระบุวัคซีนต้องเน้นผู้สูงอายุและกลุ่มกลุ่มเสี่ยง 7 โรคก่อน เหตุเทียบอัตราติดเชื้อเสียชีวิต สูงกว่ากว่า 100 เท่า
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวถึงประเด็นสถานการณ์วัคซีนของประเทศไทย ว่า ประเทศไทยกลับมาเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับทั่วโลกที่กลับมามีการแพร่ระบาดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกนับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันซึ่งคงจะเห็นจำนวนสูงขึ้นมาโดยตลอด และเมื่อกำลังจะควบคุมได้ก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมามากกลับมาใหม่อีกครั้ง
สถานการณ์ทั่วโลกขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาระบาดอีกครั้ง แม้แต่ในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตอนนี้แนวโน้มผู้เสียชีวิตยังอยู่ในระดับคงที่ ทั้งนี้ จะพบการติดเชื้อรายวันประมาณ 500,000 คน ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 80,000 - 10,000 คนต่อวัน ตอนนี้สถานการณ์โควิกลายเป็นโรคประจำถิ่นของทั่วโลกไปแล้ว น่าสนใจคือ ประเทศต่างๆ ที่เคยควบคุมการระบาดได้สำเร็จก่อนหน้านี้ กลับมามีการระบาดระลอกใหม่ และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ซึ่งฉีดวัคซีนให้กับประชากรได้ 50 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม แต่ก็พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทยอยสูงขึ้นในหลายรัฐ โดยเฉพาะในรัฐที่ฉีดวัคซีนยังไม่ครอบคลุม ขณะที่ในรัฐที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมแล้ว ก็กลับเกิดการติดเชื้อใหม่ในประชากรบางกลุ่ม
นอกจากนี้ สถานการณ์ในประเทศอังกฤษก็เป็นที่น่าสนใจ จะพบว่าการติดเชื้อรายวันในช่วง 2 - 3 สัปดาห์ที่แล้ว จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่าพันรายต่อวัน ขณะนี้กลับมีผู้ติดเชื้อ 40,000 รายต่อวัน แต่น่าสังเกตว่าจำนวนผู้เสียชีวิตกลับมีจำนวนน้อยต่ำกว่าร้อย
สำหรับสถานการณ์ระบาดระลอก 3 ในประเทศไทย จะพบว่ามีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นหลักหมื่นตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งกำลังจะเข้าสู่จุดมีการระบาดเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ เป็นการตรวจพบผู้ติดเชื้อในระบบบริการ หรือจากการคัดกรองเชิงรุก จากการรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะพบว่าตัวเลขมีลักษณะแนวโน้มขาขึ้นสูงมาก โดยจะเพิ่มเป็น 2 - 3 เท่าทุกๆ สัปดาห์ แต่หากมีการแยกแยะในพื้นที่กรุงเทพฯ - ปริมณฑล กับต่างจังหวัด ก็จะเห็นว่า จำนวนที่เพิ่มผู้ติดเชื้อในภาพรวม สาเหตุที่เพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ พบแนวโน้มส่วนใหญ่ จะเป็นส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับต่างจังหวัด โดยในส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑล แนวโน้มการติดเชื้อรายใหม่ไม่ได้เพิ่มสูงเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะยังมีแนวโน้มสูงแต่จำนวนเริ่มชะลอตัวลง
ส่วนแนวโน้มการเสียชีวิตดูข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน จะพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 50 รายต่อวัน แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่ 100 รายต่อวัน ซึ่งเนื่องมาจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น จะพบว่าในระยะช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อของ กทม.มีแนวโน้มเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งเชื่อว่าสัปดาห์ต่อไปหลังจากนี้จะต่ำมีผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 100 รายต่อวัน
สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า มีการฉีดวัคซีนโควิดได้วันละประมาณ 3 แสนโดส แยกเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 266,314 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 37,929 ราย ซึ่งเป็นวัคซีนที่ภาครัฐจัดหาให้ โดยวัคซีนหลักก็จะเป็น คือ วัคซีน sinovac เข็มที่ 1 จำนวน 4.5 ล้านโดส และ astrazeneca เข็มที่ 1 จำนวน 6.6 ล้านโดส ส่วนวัคซีนชิโนฟาร์ม ซึ่งเป็นความร่วมมือในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเข้ามา ขณะนี้ฉีดไปแล้ว 5.8 แสนราย สำหรับเข็มที่ 2 ก็จะเป็นไปตามกำหนดนัดที่ได้มีการนัดหมาย
นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวอีกว่า หากจำแนกการฉีดวัคซึนได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ 1.ลดการเสียชีวิต ลดการป่วยรุนแรงหลังได้ติดเชื้อ 2.ปกป้องระบบบริการสาธารณ สุขให้สามารถดูแลคนไข้ได้ 3.สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้
ขณะนี้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์สาธารณสุข ได้รับการฉีดวัคซีนครอบคลุมร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไปตามยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนในประเทศไทย ที่กำหนดไว้ว่าให้เพื่อสามารถดำเนินการควบคุมโรคได้ และดูแลรักษาพยาบาลได้ ส่วนกลุ่มเสี่ยงสูงทั่วประเทศที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 5.3 ล้านคน ถ้าติดเชื้อแล้วเสียชีวิตง่าย ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 1.2 ล้านคน (23.4%) ส่วนผู้สูงอายุจำนวน 12.5 ล้านคนทั่วประเทศ ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของเป้าหมาย
ทั้งนี้ จัดการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนคนไทยทุกคนที่สมัครใจรับการฉีดวัคซีน แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เรามีวัคซีนจำนวนจำกัด จะต้องฉีดวัคซีนให้กับคนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องปกป้องคนที่มีโอกาสจะเสี่ยงเสียชีวิตสูงสุด จากข้อมูลสถิติของคนไทย เปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของคน 2 กลุ่ม พบว่าผู้ติดเชื้ออายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่ม จำนวนผู้ติดเชื้อ 10 คน จะเสียชีวิต 1 คน แต่หากเป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่มีโรคประจำตัว อายุ 20 - 59 ปี หากติดเชื้อ 1,000 คน พบอัตราเสียชีวิต 1 คน หรืออัตราการเสียชีวิตกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวเรื้อรังสูงกว่า 100 เท่า
ต่อข้อถามมีกระแสข่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับการบริจาคจำนวน 1.5 ล้านโดส จะไม่มีการจัดสรรฉีดให้บุคลากรแพทย์และสาธารณสุขนั้น นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า เนื่องจากบุคลากรแพทย์และสาธารณสุขบางคนได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเกินระยะเวลา 3 เดือน จึงมีนโยบายความจำเป็นที่อาจจะต้องมีการฉีด Booster กระตุ้นภูมิคุ้มกันในเข็มที่ 3 เพื่อสร้างระดับภูมิต้านทานให้สูงกว่าเดิม ซึ่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิทราบว่าจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนที่ผลิตด้วยแพลตฟอร์มต่างจากชนิดเดิมที่ได้รับการฉีดมาก่อนหน้านั้น ซึ่งวัคซีนซิโนแวคนั้น ผลิตด้วยรูปแบบเทคโนโลยีจากเชื้อตาย ดังนั้น เข็มที่ 3 ต้องเป็นแพลตฟอร์มไวรัลเวคเตอร์ คือวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นแมสเซนเจอร์ mRNA เพราะฉะนั้นทั้ง 2 แพลทฟอร์มจะเพิ่มประสิทธผลภูมิต้านทาน หลังจากฉีดเป็นบูสเตอร์โดส
จากตัวเลขจะพบว่าการติดเชื้อโควิดในบุคลากรยังมีแนวโน้มสูงอยู่ ดังนั้น จึงอยากเพิ่มประสิทธิผลด้วยการ Booster วัคซีนที่เรามีอยู่ก็คือแอสตร้า ดังนั้น จึงให้ฉีด AstraZeneca ที่มีอยู่ในขณะนี้ไปก่อน โดยไม่ต้องรอว่าเมื่อไหร่วัคซีนไฟเซอร์จะมา แต่ถ้าวัคซีนไฟเซอร์ที่สั่งมา และที่ได้รับการบริจาคจากสหรัฐ จำนวน 1.5 ล้านโดส มาถึง เมื่อไหร่เราก็จะสามารถใช้ทั้ง 2 ตัวควบคู่กันไปได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับใคร แต่ขณะนี้ เป็นการฉีดวัคซีนแพลตฟอร์ม Booster ให้กับด่านหน้า ที่เป็นบุคลากรจะต้องสัมผัส ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เพื่อที่เราจะสามารถใช้วัคซีนให้เกิดประใยชน์สูงสุด
ต่อข้อถามแผนการฉีดไฟเซอร์ ที่เข้ามาประเทศไทยในเดือนสิงหาคมนี้ จะฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงเจ้าหน้าที่ด่านหน้ามีเป้าหมาย ได้รับการฉีดจำนวนกี่คน นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นวัคซีนบริจาคจำนวน 1.5 ล้านโดส ในส่วนนี้คณะกรรมการวิชาการฯ ได้ทำข้อเสนอกลุ่มเป้าหมายที่จะใช้วัคซีนไฟเซอร์ที่กำลังส่งให้ไทย ร่วมกับแผนการสนับสนุนการฉีดวัคซีนของประเทศ คือการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ sinovac กับ astrazeneca และการฉีด astrazeneca กับ astrazeneca ซึ่งจะรอดูว่าวัคซีนไฟเซอร์ ที่เข้ามาจะนำมาใช้สนับสนุนในส่วนไหน ซึ่งเบื้องต้นยื่นข้อเสนอกลุ่มเป้าหมาย คือบุคลากรสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าต้องเผชิญกับโอกาสติดการติดเชื้อสูงจริงๆ ก็จะได้รับวัคซีนกลุ่มที่เป็น priority กลุ่มที่ 2 เป็นผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง 7 โรค โดยจะได้มีการระดมการฉีดวัคซีน ให้กับบุคคลในพื้นที่ที่มีการระบาดให้ได้ เพื่อให้ได้ครอบคลุมก่อนซึ่งไม่ได้เป็นการกำหนดว่า ไฟเซอร์ที่จะได้มาจำนวน 1.5 ล้านโดส ให้กับใครหรือกลุ่มใดเป็นพิเศษ โดยจะจัดให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มเสี่ยงสูงผู้ป่วยเรื้อรัง 7 โรค กลุ่มหญิงมีครรภ์และรวมทั้งในพื้นที่ที่มีการระบาดก่อน ซึ่งแผนนี้กำลังรอการอนุมัติจาก ศบค.จะให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการตามข้อเสนอเบื้องต้นตามแผนนี้ ได้หลังจากที่รัฐบาลได้รับวัคซีนมาแล้ว โดยจะต้องรอจำนวนที่ได้รับจริงและการตัดสินใจจาก ศบค.อีกครั้งหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี