23 ก.ย. 2564 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงาน กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีบริษัทเอกชนมีข้อกำหนดให้ต้องตรวจหาเชื้อเอดส์ หรือเอชไอวี (HIV) ในการสมัครงาน ว่า กสม. ในช่วงปี 2560-2561 กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีนี้ 6 เรื่อง ซึ่ง กสม. ได้ให้ความเห็นไปว่า เป็นการเลือกปฏิบัติโดยอาศัยเหตุแห่งสภาพทางสาธารณสุข อันเป็นสถานภาพอย่างหนึ่ง การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 รวมถึงกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี
“กสม. ได้ติดตามผลการดำเนินการและความคืบหน้าในเรื่องนี้ ก็ได้รับทราบความคืบหน้าจากบริษัทต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง หลังสุดเมื่อเดือน ก.ย. ปีนี้เอง ก็เมื่อต้นเดือน ได้รับแจ้งจากผู้ถูกร้องครบทั้ง 5 ราย ว่าได้ยกเลิกเงื่อนไขการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเข้าทำงานในทุกตำแหน่ง อันเป็นการขจัดอุปสรรคหรือข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิ์ในการประกอบอาชีพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อไปว่า ขณะที่อีกรายไม่ได้รับพนักงานโดยตรง แต่ได้มอบให้บริษัทอื่นเป็นผู้ดำเนินการคัดกรองผู้สมัครงาน ซึ่งบริษัทนั้นก็ได้ย้ำกับบริษัทที่คัดกรองผู้สมัครงานถึงนโยบายที่ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครที่ติดเชื้อเอชไอวี ทั้งหมดนี้ กสม. ก็ต้องขอบคุณบริษัทเอกชนที่ให้ความร่วมมือดำเนินตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาในกรณีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ยังห้ามผู้คิดเชื้อเอชไอวีเป็นตำรวจ
โดย กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อปี 2561 กรณีทายาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิต ประสงค์เข้ารับราชการในชั้นสัญญาบัตร แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกายเพราะเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี จึงขาดคุณสมบัติตามกฎ ก.ตร. ดังกล่าว กรณีนี้ด้านหนึ่งมีคดีฟ้องร้องในศาล กสม. จึงหยุดดำเนินการติดตามในกรณีของผู้ร้อง แต่อีกด้านหนึ่ง กสม. เห็นว่ากฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ที่ห้ามห้ามผู้คิดเชื้อเอชไอวีเป็นตำรวจนั้นเป็นการเลือกปฏิบัติ ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี
ทั้งนี้ กสม. จะได้หารือร่วมกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยเมื่อช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อน กสม. ได้นำเรียนเรื่องนี้กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ส่วนสัปดาห์หน้า กสม. จะได้หารือกับเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่า อาชีพตำรวจต้องออกตรวจและจับกุมผู้กระทำความผิด หากมีการใช้กำลังปะทะกันถึงขั้นเลือดตกยางออก จะสุ่มเสี่ยงให้ผุ้อื่นติดเชื้อหรือไม่ เพราะเชื้อเอชไอวีดิดต่อทางเลือดนั้น ตนเห็นว่า หน้าที่ราชการมีหลายด้าน แต่กฎที่บัญญัติไว้แบบเลือกปฏิบัตินั้นทำให้ไม่สามารถเข้าทำงานได้ อีกทั้งหากผุ้ติดเชื้อกินยาต้านไวรัสสม่ำเสมอก็จะไม่มีอาการป่วยและใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป
“อาจจะคิดว่าบทบาทหรือภารกิจของหน่วยงานนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้คนที่ไม่ติดเชื้อ แต่จริงๆ แล้วปัจจุบันทางการแพทย์ถือว่าผู้ติดเชื้อเมื่อใช้ยาต้านไวรัสก็สามารถเหมือนคนปกติทั่วไป คนที่รับราชการอยู่บางส่วนทิ่ติดเชื้อสามารถรับราชการได้ แล้วในงานราชการบางส่วนมันมีบทบาทภารกิจหลายอย่าง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่กฎที่กำหนดเอาไว้เป็นการเลือกปฏิบัติ โดยที่ไม่สามารถเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจได้เลย” นายวสันต์ กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี