ศาลปค.กลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งสำรองราชการ"วิระชัย ทรงเมตตา" ปมคลิปเสียงบิ๊กแป๊ะ ชี้ไม่ชอบด้วย กม.เหตุพฤติการณ์ผู้ออกคำสั่งมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ มีสภาพร้ายแรง ส่งผลการพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง พร้อมให้คืนสิทธิประโยชน์
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามคำสั่งสำนักสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.63 ที่ให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สำรองราชการ และประกาศของนายกรัฐมนตรีตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 31 ส.ค.63 ที่ให้ พล.ต.อ.วีระชัย พ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.63 และมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจในคราวการประชุมครั้งที่ 11/2563 เมื่อวันที่ 26 พ.ย.63 ที่ยกคำร้องอุทธรณ์ของ พล.ต.อ.วีระชัย โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่คำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และประกาศของนายกรัฐมนตรีมีผลใช้บังคับ
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว พล.ต.อ.วิระชัย ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 - 4 ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการสำรองราชการตนเองทั้งหมดจากเหตุถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปล่อยคลิปเสียง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น สนทนาทางโทรศัพท์สั่งการคดีคนร้ายลอบยิงรถยนต์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในขณะนั้น
ส่วนเหตุที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำรองราชการดังกล่าว ระบุว่า แม้คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งบัญชาการตำรวจแห่งชาติจะชอบด้วยกฎหมาย และเป็นเหตุให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งบัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการหรือพักราชการได้ก็ตาม แต่ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะออกคำสั่งดังกล่าวจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป คดีนี้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เนื่องจากเห็นว่า พล.ต.อ.วิระชัย ลักลอบบันทึกเสียงการสนทนาและส่งบันทึกเสียงการสนทนาให้บุคคลอื่นกรณี จึงเห็นได้ว่าผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยตรง แม้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะมีอำนาจในการออกคำสั่งและตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง แต่ขั้นตอนการสำรองราชการเป็นคนละขั้นตอนกับการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีวัตถุประสงค์ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่ามีมูลที่ควรกล่าวหาว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทำผิดวินัยและอาญาหรือไม่
ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงมีจุดประสงค์เพื่อพิสูจน์ว่า พล.ต.อวิระชัย กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมาจากการสั่งการของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และต่อมาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้นำผลจากการสอบข้อเท็จจริงมาใช้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง และยังดำเนินคดีอาญากับ พล.ต.อ.วิระชัย ด้วย ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย่อมมีอคติต่อ พล.ต.อ.วิระชัย ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง อีกทั้งผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทราบอยู่แล้วว่า ในปีงบประมาณ 2563 ตนเองจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ต.ค.63 ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเป็นผู้สรรหาข้าราชการตำรวจไปดำรงตำแหน่งแทนผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.อ.วิระชัย ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ย่อมอยู่ในบัญชีที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือก แต่เมื่อผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งให้สำรองราชการแล้ว และยังเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมีผลทำให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่สามารถเสนอชื่อ พล.ต.อ.วิระชัย เพื่อไปดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ เพราะเป็นผู้ถูกสำรองราชการอยู่
นอกจากนี้ ก่อนที่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะมีคำสั่งสำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง หรือมีพยานบุคคลใดร้องว่า พล.ต.อ.วิระชัย ไปยุ่งกับพยานหรือเป็นอุปสรรคในการสอบสวนหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนหากให้ยังคงอยู่ในตำแหน่งแล้วทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือสํานักงานตํารวจแห่งชาติ หรือบุคคลใดที่ถูกระบุไว้ในคำสั่งผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย่อมมีอำนาจในการดำเนินการกับ พล.ต.อ.วิระชัย ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายได้
"ดังนั้น การที่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย สำรองราชการจึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในคำสั่งที่ว่าเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมในการดำเนินการทางวินัย ละอาญา หากแต่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในคำสั่งให้สำรองราชการ"
อีกทั้งการออกคำสั่งสำรองราชการดังกล่าวไม่ใช่กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ หรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไข จึงเห็นว่าพฤติการณ์หรือการกระทำของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงแม้จะไม่ใช่ความไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอกตามมาตรา 13(1) พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 ก็ตาม
"แต่พฤติการณ์ของผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องดังกล่าว ย่อมมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อ พล.ต.อ.วิระชัย จึงถือว่าผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีสภาพร้ายแรงอันทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางโดยสภาพภายในตามมาตรา 16 ของกฎหมายเดียวกัน คำสั่งสำรองราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.63 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีผลทำให้คำสั่งนายกรัฐมนตรีตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 31 ส.ค.63 ที่ให้ พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากตำแหน่งไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย"
อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่าให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติคืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่ พล.ต.อ.วิระชัย ตามกฎหมายและระเบียบกำหนดต่อไป - 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี