ประเมินโควิดหลังเปิดประเทศ
ศบค.ชี้ขาด26พ.ย.
ปรับมาตรการ-คลายล็อกเพิ่ม
สถานบันเทิง1,443แห่งลุ้น
กทม.ลุยตรวจความพร้อม
จี้10จว.ฉีดเข็มแรกเกิน50%
เฝ้าระวัง5จว.ยอดป่วยพุ่ง
ติดเชื้อรายวัน6,428-ตาย49
ไทยติดโควิดรายวันลดเหลือ 6,428 รักษาหาย 7,882 อาการหนัก 1,595 ตาย 49 ศพ ในจำนวนนี้มีถึง 23 รายไม่ได้ฉีดวัคซีน ศบค.เฝ้าระวัง 5 จังหวัดติดเชื้อพุ่งเกินหลักร้อยต่อวัน รวมถึงคลัสเตอร์งานประเพณี ตลาด แคมป์ โรงงาน สธ.ยันเดินหน้าฉีดให้ได้ร้อยล้านโดส พร้อมตรวจภูมิคุ้มกัน ย้ำสมัครใจไม่ใช้มาตรการบังคับ นายกฯพอใจแผนบริหารวัคซีน ชวนคนไทยที่ตกสำรวจร่วมสร้างภูมิคุ้มกัน เร่ง 10 จังหวัดที่เข็มแรกต่ำกว่า 50% ระดมฉีดให้เข้าเป้า ด้านกทม.ปูพรมตรวจสถานบันเทิง 1,443 แห่งที่มาขึ้นทะเบียนว่าได้มาตรฐาน SHA+ หรือไม่ ห่วงจว.สีฟ้าพบนักท่องเที่ยวหละหลวมไม่ใส่แมส-รวมตัวสังสรรค์
ลุ้นศบค.ชุดใหญ่ถก 26 พย.ประเมินสถานการณ์หลังเปิดประเทศ จะมีมาตรการอย่างไรต่อ
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด -19 ประจำวันของไทยแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง
ติดโควิดรายใหม่6,428-รักษาหาย7.8พัน
โดยไทยตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,428 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 5,868 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 5,732 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 133 ราย มาจากเรือนจำ 553 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 10 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,071,009 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 7,882 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1,964,805 ราย อยู่ระหว่างรักษา 85,768 ราย อาการหนัก 1,595 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 382 ราย
ทั้งนี้ ในการตรวจเชื้อ RT-PRR ตรวจประมาณ 3-4 หมื่นต่อวัน โดยเขตสุขภาพที่ 1 พบถึง 20% เขตสุขภาพ 2 อยู่ที่ 36% เขตสุขภาพ 12 หรือภาคใต้บางช่วงถึง 50% ส่วนการตรวจเชื้อ ATK ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 3-4% โดยแยกตามพื้นที่ อย่างกรุงเทพและปริมณฑล จะเห็นภาพเป็นกราฟระฆังคว่ำ โดยทิศทางลดลง คือ กทม. อยู่ที่ 14% สวนจังหวัดอื่นๆ ในปริมณฑล นนทุบรี สมุทรปราการ ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม ลดลงทั้งหมด
ตายเพิ่ม49มี23รายไม่ได้ฉีดวัคซีน
ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 49 ราย เป็นชาย 29 ราย หญิง 20 ราย เป็นผู้เสียชีวิตอายุ 60 ปีขึ้นไป 35 ราย มีโรคเรื้อรัง 11 ราย เด็กอายุ 14 ปี เสียชีวิต 1 ราย ที่จ.ปัตตานี เป็นผู้ไม่เคยได้รับวัคซีน 23 ราย พบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 6 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 20,436 ราย ขณะที่สถานการณ์โลกมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 257,821,964 ราย เสียชีวิตสะสม 5,167,773 ราย
เฝ้าระวัง5จว.ติดเชื้อพุ่งต่อเนื่อง
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 22 พฤศจิกายน ได้แก่ กทม. 815 ราย สงขลา 457 ราย นครศรีธรรมราช 438 ราย ราชบุรี 289 ราย สุราษฎร์ธานี 280 ราย เชียงใหม่ 240 ราย ปัตตานี 194 ราย สมุทรปราการ 164 ราย ชลบุรี 150 ราย ยะลา 146 ราย ทั้งนี้ ต้องจับตาจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อเกินร้อยต่อวันและมีทิศทางสูงขึ้นคือ เชียงใหม่ รวมถึงจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อไม่ถึงร้อย แต่มีทิศทางการติดเชื้อสูงขึ้น ได้แก่ เชียงราย ลำพูน พิษณุโลก และสิงห์บุรี ถือเป็นจังหวัดที่สธ.จับตาใกล้ชิด ขณะที่คลัสเตอร์ที่ต้องจับตาคือ งานบุญ พบอยู่ใน จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นงานทอดกฐิน คลัสเตอร์งานศพพบที่จ.กาญจนบุรี อุดรธานี คลัสเตอร์แคมป์คนงานพบที่จ.สระแก้ว ขอนแก่น ลำพูน เชียงใหม่ คลัสเตอร์โรงเรียนพบที่จ.อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี ขณะที่กทม.ยังพบคลัสเตอร์โรงงาน ตลาด สถานประกอบการ
ลุ้นศบค.ถก26พ.ย.ออกมาตรการเพิ่ม
พญ.อภิสมัยยังแถลงอีกว่า สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำคัญข้อมูลนำเข้าหลังเปิดประเทศ ทั้งผู้เดินทาง ผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต สถานการณ์ต่างๆ จะถูกนำเข้าที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน ซึ่งต้องติดตามว่า จะมีมาตรการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ จากข้อมูลผู้ติดเชื้อทั่วโลก องค์การอนามัยโลกสรุปให้เห็นว่า อัตราติดเชื้อในสหรัฐฯค่อนข้างขยายปริมาณ อยู่ในกลุ่มสีเหลืองสูงสุด ส่วนสีเขียวจะอยู่ในกลุ่มยุโรป อย่างยุโรปตะวันออก มีปัญหาประชากรฉีดวัคซีนไม่ครอบคลุม ทำให้มีอัตราติดเชื้อสูง ป่วยหนักเสียชีวิตสูง ส่วนประเทศยุโรปตะวันตกแม้ฉีดวัคซีนครอบคลุม แต่ยังลดอัตราติดเชื้อไม่ได้ จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายประเทศปรับนโยบาย อย่างบางประเทศประกาศว่า คนที่ไม่ฉีดวัคซีนจะไม่สามารถใช้บริการสถานที่สาธารณะรวมถึงขนส่งสาธารณะ บางประเทศปิดเมือง ไทยต้องติดตามยุโรป สหรัฐใกล้ชิด เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาไทย จะเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกาด้วย
จว.สีฟ้าพบนทท.ไม่ใส่แมส-สังสรรค์
พญ.อภิสมัยเปืดเผยด้วยว่า ในที่ประชุม ศปก.ศบค. ซึ่งมีจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวเข้าร่วมประชุม มีรายงานข้อขัดข้องในการดำเนินการเปิดประเทศที่ผ่านมา อันดับแรก พบนักท่องเที่ยวบางรายไม่ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขของประเทศไทย ส่วนใหญ่คือ ปฏิเสธสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย รวมกลุ่มสังสรรค์รับประทานอาหารร่วมกัน นำไปสู่การติดเชื้อ ต้องขอบคุณสถานประกอบการและโรงแรม ที่ได้รายงานเข้ามายังศบค. และเจ้าหน้าที่ช่วยเป็นตัวแทนประเทศไทย ช่วยสังเกตความผิดปกติ การไม่ปฏิบัติตามมาตรการ มีการตักเตือนเบื้องต้น ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว จึงขอย้ำว่าภายใต้พ.ร.บ.โรคติดต่อของไทย การไม่สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกัน ถือเป็นความผิดมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท
กทม.เร่งประเมินสถานบันเทิง1.4พันแห่ง
พญ.อภิสมัยยังแถลงความคืบหน้าการพิจารณาผ่อนคลายในส่วนสถานบันเทิงว่า สัปดาห์นี้ กทม.จะลงพื้นที่ตรวจสอบกำกับสถานบริการ สถานประกอบการคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมด 1,443 แห่ง สำรวจไปแล้ว 975 แห่ง ขอให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนไว้กับ กทม. ให้รีบลงทะเบียนและให้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลการปฏิบัติตัวในเว็บไซต์ไทยสตอปโควิด 2พลัส เพื่อศึกษาวิธีการและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข เพื่อให้ได้รับมาตรฐาน ถ้าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงสถานที่ จะมีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเข้าไปดูแลทำให้เหมาะสม เพื่อให้ได้มาตรฐาน SHA+ ต่อไป และสิ่งที่ดำเนินการได้ง่ายที่สุดขณะนี้คือ สำรวจบุคลากร ถ้ายังไม่ฉีดวัคซีนให้เร่งดำเนินการ กรณีรับบุคลากรใหม่ให้สอบถามเรื่องฉีดวัคซีนเพื่อให้ได้รับวัคซีนสองเข็มอย่างทั่วถึง
จี้10จว.ระดมฉีดเข็ม1ให้ได้50%
สำหรับยอดผู้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนฉีดวัคซีนเพิ่มเติมได้ 185,639 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์เป็นต้นมามีทั้งหมด 88,989,235 โดส เป็นที่น่าสังเกตว่ามีถึง 10 จังหวัดที่ฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งครอบคลุมประชากรไม่ถึงร้อยละ 50 ได้แก่ นครพนม หนองบัวลำภู สกลนคร บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ยโสธร แม่ฮ่องสอน สุรินทร์ ร้อยเอ็ด สมุทรสาคร ส่วนจังหวัดที่ฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งในกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรังน้อยที่สุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน นครนายก ราชบุรี สุพรรณบุรี ปัตตานี ขอนแก่น กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง จึงขอให้จังหวัดเหล่านี้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บางจังหวัดบอกว่า หาคนไปฉีดเข็มที่ 1 ยากมาก เรื่องนี้ต้องช่วยกัน ยังเป็นความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม ประเทศชาติด้วย การที่จะเปิดประเทศปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าว่า เข็มที่ 1 ต้องฉีดให้ได้ 100 ล้านโดสในเดือนพฤศจิกายน
สธ.เล็งตรวจภูมิฯหลังฉีดได้70%
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศไทยให้ถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดส รวมถึงการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ครบ 100% ของประชากรว่า ไทยเราฉีดวัคซีนไปได้จำนวนมาก แต่ที่มีข้อมูลปรากฏในระบบน้อยกว่าที่ฉีดไปประมาณ 2-3 ล้านข้อมูล เนื่องจากบางข้อมูลไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่ขึ้นในระบบ เช่น เลขบัตรประชาชน เลขล็อตวัคซีนผิดะ รวมถึงตัวเลขที่ฉีดในระบบอื่นก็อาจตกหล่นอยู่บ้าง เรากำลังสางข้อมูลอยู่ ถ้าดูตามระบบที่มี ประมาณอีก 10 ล้านคนที่ยังไม่ได้ฉีด แต่อาจมีที่ฉีดไปแล้ว ซึ่งก็อาจไม่ถึง แต่เราพยายามทำสวนกลับ โดยให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แทนที่จะนับคน นับขวด ให้ศึกษาในห้องปฎิบัติการตรวจภูมิต้านทาน เพื่อดูว่าคนที่มีภูมิต้านทานมีกี่เปอร์เซ็นต์ น่าจะพอบอกได้ว่าประเทศมีคนมีภูมิฯ ระดับไหน
“เมื่อเราฉีดวัคซีนไปจำนวนหนึ่งแล้ว เช่น 70-80% ของประชากร ถือว่าเยอะมาก ก็เปลี่ยนจากการหาคนที่ยังไม่ได้ฉีด มาเป็นศึกษาคนว่ามีภูมิฯ ระดับไหนแล้ว เช่น หากเราฉีดไป 70% แต่อาจมีภูมิฯ ถึง 75% ก็ได้ ซึ่งภูมิฯก็เกิดขึ้นได้จาก 1.ฉีดวัคซีน 2.เคยติดเชื้อแล้วเกิดภูมิฯ และ3.ฉีดวัคซีนแต่ภูมิฯ ไม่ขึ้น เราต้องศึกษาเพื่อดูว่าคนในชุมชนมีภูมิฯ ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เชิงการหาภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ เราจะดำเนินการให้เสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนต่อไป”นพ.เกียรติภูมิกล่าว
ส่งทีมสุขภาพจิตชวนฉีด-ยังเน้นสมัครใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน สธ.จะมีแนวทางอย่างไรจูงใจให้มาฉีด นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า เราชักชวนอยู่ ซึ่งเราศึกษาสำเร็จใน จ.นครศรีธรรมราช กลุ่มผู้ที่ลังเลจะฉีดอาจยังกลัวแพ้ หรือกังวลความปลอดภัย เราศึกษาในประชาชน 8 พันกว่าคน โดยให้นักจิตวิทยา และทีมสุขภาพจิตเข้าไปช่วยให้ข้อมูล ปรากฏว่า มี 6 พันคนที่ยอมฉีดวัคซีน ส่วนอีก 2 พันกว่าคนยืนยันว่าไม่ฉีด ผลสรุปคือ หากเราทำความเข้าใจแล้ว จะมี 2 ใน 3 ที่ยอมฉีด อีก 1 ส่วนคือผู้ที่ไม่ยอมฉีดเลย ดังนั้น อยากเชิญชวนมาฉีดให้มากขึ้น เราไม่อยากใช้มาตรการบังคับ ถ้าถึงจุดหนึ่ง เรามีภูมิฯแล้ว คิดว่าพอเพียง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ยังตามความสมัคร แต่สมมติเกิดการระบาดขึ้นมาก อาจต้องใช้มาตรการมากกว่าเชิญชวน อาจต้องห้ามคนที่ยังไม่มีรับวัคซีน ทำกิจกรรมอะไรบางอย่างที่จะเกิดการติดหรือแพร่เชื้อได้
“อย่างไรก็ตาม แม้จะฉีดได้ถึง 100 ล้านโดสที่เราวางเป้าหมายไว้วันที่ 5 ธันวาคม แต่หลังจากนั้น ต้องฉีดต่อไปเรื่อย ๆ ยังเป็นความสมัครใจ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
นายกฯพอใจแผนวัคซีน-ชวนคนเร่งฉีด
ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พอใจภาพรวมแผนบริหารจัดการฉีดวัคซีนโควิด โดยเฉพาะการฉีดแบบผสมผสานหรือสูตรไขว้ ทั้งซิโนแวคเข็มแรก แอสตร้าเซเนก้า เข็มที่ 2 และซิโนแวค 2 เข็ม แอสตร้าฯเข็ม 3 สร้างภูมิต้านทานป้องกันโควิดที่มีอาการได้ถึง 80-90% มากกว่าฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็มที่ป้องกันโควิดที่มีอาการได้ 70-80% เห็นผลลัพธ์ลดติดเชื้อรุนแรงหรือป่วยหนักได้ดี ทำให้อัตราเสียชีวิตลดลงอย่างเห็นผล ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าฉีดวัคซีนทำให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง และเห็นผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะจำนวนผู้เสียชีวิตที่ต่ำกว่า 100 ราย ติดต่อกันนานเดือนแล้ว สะท้อนความสำเร็จในการบริหารสถานการณ์โควิดของรัฐบาลและความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรแพทย์ ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งจัดหาและกระจายวัคซีนในสต็อกทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ฉีดวัคซีนให้ทุกคนในประเทศไทย ขอเชิญคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนมาฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธุรกิจท่องเที่ยว และเปิดประเทศตามแผนที่กำหนด
เอกชนชื่นชมนายกฯกล้าตัดสินใจ
นายธนกรยังกล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน นายสนั่น อังอุบลุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวยกย่องชื่นชมนายกฯ ที่แสดงความหนักแน่น พร้อมรับฟังความเห็น และกล้าตัดสินใจ เช่น การจัดหาวัคซีนและเปิดประเทศช่วงที่ผ่านมา ประธานกรรมการหอการค้าไทย ยังยืนยันว่า หอการค้าไทยตั้งใจและจริงจังที่จะทำงานเคียงคู่รัฐบาล หอการค้ายังมีคนรุ่นใหม่ที่เป็นทายาทธุรกิจที่มีศักยภาพสูงพร้อมช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศร่วมกับรัฐบาล เดินหน้าฝ่าวิกฤต พลิกโฉมประเทศไทยไปด้วยกัน ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยปี 2565 กลับมาเติบโตและเข้มแข็งอีกครั้ง
สงขลาพุ่งไม่หยุดหวั่นกระทบเปิดเมือง
ความคืบหน้าสถานการณ์ระบาดโควิด -19 ที่จ.สงขลา สำนักงานสาธารณสุข (สสจ.) สงขลารายงานสถานการณ์โควิดในพื้นที่ซึ่งยังพบผู้ติดเชื้อสูงจนน่าตกใจมี 457 ราย ส่งผลติดเชื้อสะสม 59,077 ราย ยังอยู่อันดับ 2 ของประเทศ และอันดับ 1 ของ 14 จังหวัดภาคใต้ มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ยอดเสียชีวิตสะสม 244 ราย สถิติสูงที่สุดของภาคใต้ และนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 6,000 ราย ทำให้จังหวัดกังวลว่าเป็นปัญหาในการเปิดเมืองท่องเที่ยวกลางเดือนธันวาคมและเทศกาลปีใหม่ ประชาชนจะหวาดกลัวไม่กล้าร่วมกิจกรรม ทั้งที่รณรงค์ฉีดวัคซีน มีประชาชนฉีดแล้ว 73% กลุ่มเป้าหมาย 1.4 ล้านคน สอบสวนประวัติเบื้องต้นของผู้เสียชีวิต มาจากลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนและมีโรคประจำตัวเรื้อรัง อยู่ใน 4 อำเภอชายแดน อ.เทพา จะนะ นาทวี และอ.สะบ้าย้อยมากที่สุด
4จว.ใต้สัญญาณดียอดลด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบสถานการณ์ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว มี 4 จังหวัดมีสัญญาณที่ดี มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลง วันที่ 22 พฤศจิกายน จ.ปัตตานี 194 ราย จ.นราธิวาส 96 ราย จ.สตูล 82 ราย จ.ยะลา 146 ราย ยังเหลือจ.สงขลา ที่ยอดผู้ติดเชื้อไม่ลด สูงติดอันดับ 2 และ 3 ของประเทศติดต่อกันเกือบ 2 เดือนแล้วมียอดผู้เสียชีวิตยังสูง
โคราชติดเชื้อขยับ79-ตาย1ราย
ที่จ.นครราชสีมา วันนี้พบมีผู้ติดเชื้อในพื้นที่ 79 ราย ไม่มีการติดเชื้อมาจากนอกพื้นที่ โดยติดเชื้อในพื้นที่จังหวัดทั้ง 79 ราย ทำให้ขณะนี้มียอดผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,170 ราย รักษาหายแล้ว 30,269 ราย ยังรักษาอยู่ 1,588 ราย มีเสียชีวิต 1 ราย เสียชีวิตสะสม 250 ราย ในส่วนผู้ต้องขังในเรือนจำวันนี้ ไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม รวมผู้ต้องขังติดเชื้อสะสม 2,447 ราย รักษาหาย 2,131 ราย รักษาอยู่ 316 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต 1 ศพ ยอดเสียชีวิตสะสมรวม 250 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี