ย้อนไปเมื่อประมาณปี 2543 ในเหตุการณ์แพร่กระจายรังสีโคบอลต์-60 ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รถเก็บของเก่าที่เรียกติดปากว่าซาเล้ง ได้เก็บเอาแท่งโคบอลต์-60 ที่ใช้ในเครื่องฉายรังสีทางการแพทย์ ไปตัดแยกแกะเอาชิ้นส่วนโลหะที่อยู่ภายในเพื่อชั่งกิโลขายเป็นของเก่า
ซึ่งแท่งโลหะที่อยู่ภายในคือโคบอลต์-60 คือสารกัมมันตรังสี (radioactivemeterial) ซึ่งมีลักษณะคล้ายเหล็ก เมื่อแกะเอาวัสดุห่อหุ้มสารกัมมันตรังสีออก ส่งผลให้กัมมันตรังสีแพร่กระจายออกมาและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลที่ทำงานและพักอาศัยในร้านรับซื้อของเก่าโดยมีอาการบวมที่นิ้วมือ อาเจียน ผมร่วง มีปริมาณเม็ดโลหิตขาวต่ำมาก โดยผู้เสียหาย ในขณะนั้นมีประมาณ 12 คน ได้เข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ
ซึ่งต่อมาอาการของผู้ป่วยรุนแรงมากขึ้น ผิวหนังไหม้เกรียม แผลพุพอง ซึ่งมีอาการคล้ายลักษณะของการถูกรังสีอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติในขณะนั้น จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและได้พบแท่งโลหะทรงกระบอกเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร ความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร 1 แท่ง คือ แท่งโคบอลต์-60 ซึ่งเป็นต้นเหตุในการแพร่กระจายรังสี หลังจากนำวัตถุดังกล่าวไปจัดเก็บในที่ปลอดภัยแล้ว
นอกจากนั้นประชาชนข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบจากรังสี ถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลหลายสิบราย ต่อมาผู้ที่ใกล้ชิดกับแท่งโลหะโคบอลต์-60 เสียชีวิตลงเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสเลือดบางรายต้องตัดนิ้วมือ
ในทางกฎหมายนั้นผู้เสียหายได้ดำเนินคดี 2 คดี คือ คดีปกครองและคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย
โดยในคดีปกครองนั้น ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP) ในกรณีละเลยปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมดูแลการเก็บรักษาวัสดุกัมมันตรังสีและจัดการให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชน
ซึ่งศาลปกครองและศาลปกครองสูงสุดพิจารณาและพิพากษาว่าหน่วยงานดังกล่าวได้มีการละเลยปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเก็บรักษาวัสดุกัมมันตรังสีและการจัดการให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชน ทั้งที่ทางโรงพยาบาลได้ทำหนังสือแจ้งเตือนกรณีขายเครื่องฉายรังสีโคบอลต์ให้บุคคลอื่นแต่หน่วยงานดังกล่าวมิได้ดำเนินการติดตามตามระเบียบและข้อบังคับ พร้อมกับให้หน่วยงานดังกล่าวชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายทั้งหมดรวมประมาณกว่า 5 ล้านบาท
ในส่วนของคดีแพ่งนั้น ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องบริษัท กมลสุโกศล อีเล็คทริค จำกัด กับพวก เพื่อเรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่งโดยในคดีแพ่งนั้นมีคำพิพากษาของศาลฎีกาถึงที่สุดในปีพ.ศ 2559 โดยในประเด็นแรกศาลได้วินิจฉัยว่า การกระทำของบริษัท เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อโจทก์ โดยการจัดเก็บในลักษณะปล่อยปละละเลย โดยจัดเก็บในลักษณะที่เป็นวัตถุไม่ใช้แล้วตามปกติธรรมดา มิได้ใช้ความระมัดระวังตาม
มาตรฐานในการจัดเก็บวัสดุกัมมันตรังสี แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจ ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลอื่นจึงถือว่าการกระทำของบริษัทเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง
ประเด็นต่อมาในเรื่องค่าเสียหายนั้น เนื่องจากในคดีปกครองศาลได้กำหนดค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายไปแล้วบางส่วนในคดีแพ่งศาลจึงกำหนดค่าเสียหายให้กับโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายทุกคนเพียงบางส่วน โดยพิจารณาจากยอดเงินที่ผู้เสียหายได้รับในคดีปกครองด้วย
ผ่านไปหลายสิบปีเหตุการณ์กลับมาวนอีกครั้งในรูปแบบของซีเซียม-137ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีในลักษณะโลหะอ่อนสีทองเงิน ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกายคือเกิดความเสี่ยงในโรคมะเร็ง เมื่อวัตถุดังกล่าวถูกหลอมละลายและแพร่กระจายเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายจะมีโอกาสแพร่ไปยังสิ่งแวดล้อมรอบข้างและปนเปื้อนในพืชหรืออาหารสูง
สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนอกจากการแก้ไขปัญหาด้วยการเยียวยาค่าเสียหายตามผลของคำพิพากษาซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นคงสำคัญไม่น้อยไปกว่าวิธีการวางมาตรการป้องกันไม่ให้กรณีดังกล่าวเกิดซ้ำขึ้นอีกเรื่อยๆ