เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 6 พ.ค.66 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตรโสภากุล ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่ง รอง ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ รอง ผกก.3 บก.ป. และ พ.ต.ท.สิทธิพร มีอาษา รอง ผกก.3 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตรโสภากุล ผกก.3 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด กก.3 บก.ป.ร่วมกันดำเนินคดีกับ1) นายคมฯ หรือ พระอาจารย์คม อายุ 39 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ 65/66 ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
2) นาย วุฒิมาฯ หรือพระหมอ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 64/2566 ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ในข้อหา “เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
3) น.ส.จุฑาทิพย์ฯ อายุ 35 ปีผู้ต้องหา ตามหมายจับหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 66/2566 ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และรับของโจร”
พฤติการณ์ด้วยตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย บก.ป. ได้รับการประสานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ทำการตรวจสอบพฤติกรรมของ นายคมฯ หรือพระอาจารย์คม ประธานฝ่ายสงฆ์ของวัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ว่ามีการทุจริตเงินวัดหรือไม่อย่างไรนั้น
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการสืบสวนและเข้าทำการตรวจสอบภายในวัด ตามข้อร้องเรียนดังกล่าวพบว่าพระอาจารย์คม ผู้ต้องหา ในคดีนี้เป็นพระผู้ดูแลการใช้จ่ายเงินต่างๆ ของวัดรวมถึงเงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญกับทางวัดร่วมกับเจ้าอาวาสวัด (พระหมอ) มีพฤติการณ์นำเงินทำบุญบางส่วนของวัดไปใช้จ่ายส่วนตัว โดยสั่งการให้เจ้าอาวาสนำเงินสดไปมอบให้น.ส.จุฑาทิพย์ฯ น้องสาวของตน เพื่อฝากเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพว่าได้นำเงินของวัดออกมาจริง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนเพิ่มเติม และเข้าค้นบ้านพักของ น.ส.จุฑาทิพย์ฯ น้องสาวของผู้ต้องหา พบเงินสดกว่า 51 ล้านบาทที่ถูกเก็บไว้ในลังโฟมและกระเป๋าเดินทางในบ้านพักดังกล่าวและพบเงินวัดที่อยู่ในบัญชีเบื้องต้นกว่า 130 ล้านบาท รวมยอดกว่า 180 ล้านบาท
ในส่วนของพฤติการณ์อื่นๆ ยังปรากฎข้อเท็จจริงที่ทางผู้ต้องหาให้การรับสารภาพเพิ่มเติมอีกว่า ในระหว่างที่ตนถือสมณเพศนั้น ได้มีการเสพเมถุนภายในกุฏิของวัดซึ่งถือเป็นการอาบัติปาราชิก ตามข้อบัญญัติทางธรรมวินัยอีกส่วนหนึ่ง ทางผู้ต้องหา จึงสมัครใจที่จะลาสิกขา
ด้านพล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป.กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทำการจับกุมบุคคลทั้ง 3 ในขณะนี้อยู่ในการควบคุมของกองบังคับการปราบปราม เพื่อสืบสวนสอบสวน โดยแต่ละคนอยู่คนละพื้นที่ ซึ่งบางคนอยู่ระหว่างการเดินทาง ทั้งนี้สำหรับเงินที่บุคคลทั้ง 3 ได้ดำเนินการ ยักยอกจากวัดนั้น จากการสอบถามทราบว่ายักยอกมาจากโครงการสร้างสิ่งต่างๆของวัดเช่นเจดีย์ และอีกหลายโครงการ และได้ลาสิกขากันไปหมดแล้ว
ต่อข้อถามกลุ่มบุคคลดังกล่าวจะมีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ฐานแอบอ้างเบื้องสูงหรือไม่นั้น ผบก.ป. กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่พบการกระทำผิดเรื่องดังกล่าว จากการที่เราตรวจสอบพบว่านอกจากนายคมพระหมอแล้ว ยังมีพระรูปอื่นอีกรวมประมาณ 4 รูปที่มีพฤติกรรมชอบเพศเดียวกันหรือชายรักชายในขณะที่บวช อย่างไรก็ตามกรณีรสนิยมดังกล่าวไม่พบความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางอาญา แต่เป็นเรื่องความผิดทางสงฆ์
เมื่อถามว่าพระคมสารภาพว่าเสพเมถุนเป็นพฤติกรรมที่มีมาโดยตลอดอยู่แล้วหรือว่าเพิ่งจะมีตอนบวชที่มีเงินเข้ามาจำนวนมากแล้ว ผบก.ป. กล่าวว่า ไม่มีข้อมูลส่วนนี้ แต่เราได้หาข้อมูลจากผู้ถูกกระทำด้วย และท่านก็ได้ยอมรับในภายหลัง อันนี้ไม่ได้มีข้อมูลลึกขนาดนั้น ทั้งนี้ อยากเรียนให้พี่น้องสื่อมวลชน และประชาชนได้มีความมั่นใจใน การดำเนินการ ของกองบังคับการปราบปรามว่าจะดำเนินการ อย่างตรงไปตรงมาและตามกฎหมาย ซึ่งเบื้องต้นเราจับกุมได้ 3 คน แต่จะมีผู้ร่วมกระทำผิด เพิ่มเติมมากกว่านี้หรือไม่ เรา ดำเนินการตรวจสอบต่อไป
ด้านนายอินทพร จั่นทร์เอี่ยม รองผอ.รักษาราชการแทน ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พ.ศ.) กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาได้รับเรื่องร้องเรียนในทางลับให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระอาจารย์คม 2 พฤติการณ์ คือ 1 ) อาจมีพฤติการณ์ผิดธรรมวินัยอย่างร้ายแรงว่ามีการเสพเมถุน 2) บริหารงาน บริหารเงินของวัดไม่โปร่งใสใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยยักยอกเงินวัดมาเป็นเงินของส่วนตัว อย่างไรก็ตาม สำนักงานพุทธศาสนาไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ จึงได้ประสานกองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ไปหลังจากที่ทราบ ความเสียหายและมีเงินหมุนเวียนเป็นวงเงินจำนวนมาก ทั้งนี้ จาการตรวจสอบ พศ. ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง พบประพฤติวินัยสงฆ์ร้ายแรงจริง และเจ้าตัวก็ยอมรับตามนั้น เราก็ได้แจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองทราบแล้วก็ดำเนินการ
ต่อข้อถามว่าอดีตพระทั้ง 4 รูป ลาสิกขากันในวันเดียวกันหรือว่าต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปลาสิกขานั้น นายอินพร ชี้แจงว่า การลาสิกขาเป็นความสมัครใจ ซึ่งจะไปลาสิกขากับพระรูปใด และที่วัดใดก็ได้ ที่วัดใดก็ได้เพราะฉะนั้นตรงนี้เราก็ไม่ทราบว่าท่านได้ไปลาสิกขาพร้อมกันหรือไม่ เพียงแต่เราได้ทราบจากเจ้าคณะผู้ปกครองว่าได้ลาสิกขาแล้ว จึงมาดำเนินการในเรื่องของการตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี อยู่เพื่อตั้งกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินซึ่งได้ดำเนินการ ได้ดำเนินการไปแล้วในเบื้องต้นซึ่งอาจจะมีการเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินของวัดเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี