รับตัว"อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ" เป็นผู้ร้ายข้ามแดนคดีทุจริตเงินทอนวัดจากสหรัฐฯ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เตรียมส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตฯ 29 กันยายน
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 ได้เผยแพร่เอกสารประชาสัมพันธ์ กรณีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประสานงานกับกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา เพื่อดำเนินการรับตัวผู้ร้ายข้ามแดนรายสำคัญในคดีทุจริตเงินทอนวัดที่ได้หลบหนีไปต่างประเทศ เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย คือ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ผู้ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินอุดหนุนเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดกว่า 65 แห่ง
คดีนี้สืบเนื่องจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดของนายนพรัตน์ฯ กับพวก เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและเบียดบังเงินงบประมาณอุดหนุนวัดพนัญเชิงวรวิหารและวัดอื่นๆ รวม 65 แห่ง ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและบ่อนทำลายศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา ต่อมา อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องนายนพรัตน์ฯ กับพวกต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 7 โดยได้นำผู้ถูกกล่าวหาบางส่วนขึ้นสู่การพิจารณาของศาลแล้ว แต่เนื่องจากนายนพรัตน์ฯ หลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 7 จึงได้ออกหมายจับไว้
สำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะหน่วยงานผู้ประสานงานกลาง ได้จัดทำคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังทางการสหรัฐอเมริกา และได้มีการประสานงานกับกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของไทยต่อศาลสหรัฐฯ จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนกันยายน 2568 สำนักงานอัยการสูงสุดได้รับแจ้งว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เห็นชอบให้ส่งตัวนายนพรัตน์ฯ กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
และเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ช.ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อรับตัวนายนพรัตน์ ผ๔ถูกกล่าวหากลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การดำเนินการในครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นและความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างจริงจังในการติดตามตัวผู้กระทำความผิดที่หลบหนีมาดำเนินคดีจนถึงที่สุด
ในโอกาสนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดขอขอบคุณพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ผู้ประสานงานกลางสหรัฐอเมริกา พนักงานอัยการเขตเท็กซัสตะวันออกผู้ดำเนินคดี ผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมายประจำฟิลิปปินส์ผู้ประสานงาน และเจ้าหน้าที่ US Marshals ผู้จับกุมและควบคุมตัว กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ช.ที่ได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จนทำให้การส่งผู้ร้ายข้ามแดนในคดีสำคัญครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ ผู้ถูกกล่าวหา คดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด หรือ “คดีเงินทอนวัด” เมื่อปี 2566 และหลบหนีไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2568 ทางการสหรัฐอเมริกาได้จับกุมตัวนายนพรัตน์ ตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทย ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีการขอความอนุเคราะห์อัยการสูงสุดเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
ทั้งนี้ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีเงินทอนวัด ในช่วงปี 2560 - 2567 หลายคดี และในช่วงที่ผ่านมาศาลฯ ได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิด รายอื่นๆ ไปแล้ว 22 คำพิพากษา
นอกจากนี้ เมื่อปี 2563 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากพบว่า นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2553 - 30 กันยายน 2557 พบเงินฝากและทรัพย์สินต่างๆ ของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และคู่สมรส รวมทั้งบุคคลใกล้ชิด รวมกว่า 575 ล้านบาท ที่ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินได้
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี