‘ชัชชาติ’ ย้ำ!รับมือได้ไม่ต้องห่วง สถานการณ์น้ำไม่ใกล้เคียงปี’54

‘ชัชชาติ’ ย้ำ!รับมือได้ไม่ต้องห่วง สถานการณ์น้ำไม่ใกล้เคียงปี’54

วันอังคาร ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 13.54 น.

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ นำผอ.ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ลงเรือตรวจสถานการณ์น้ำ แถลงย้ำมั่นใจ! รับมือ 3 น้ำได้ ยันสถานการณ์ไม่ใกล้เคียงปี 54 เลย กทม. พร้อมรับมือ น้ำเหนือหลาก-น้ำทะเลหนุน-ฝนหนัก คนกรุงไม่ต้องห่วง

วันที่ 7 ต.ค. 68 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ แถลงความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝนของกรุงเทพมหานคร พร้อมนำสื่อมวลชนลงเรือสำรวจการเตรียมความพร้อมบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าเรือส่วนการท่องเที่ยวสำนักงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เขตพระนคร ตรวจชุมชนนอกแนวบริเวณชุมชนท่าวัง แนวเรียงกระสอบทรายท่าราชวรดิษฐ์ งานปรับปรุงแนวรั่วซึมบริเวณโรงเรียนราชินีเขตพระนคร งานเสริมผนังกั้นน้ำบริเวณกรมอู่ทหารเรือ เขตบางกอกใหญ่การก่อสร้างเขื่อนแนวฟันหลอบริเวณข้างวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร แนวเรียงกระสอบทรายแนวฟันหลอบริเวณ อู่เรือกัปตัน เขตบางกอกน้อย


นายชัชชาติ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำของกรุงเทพมหานครว่า ช่วงนี้ที่หลายคนมีความกังวลในสถานการณ์เหนือที่จะลงมาถึงกรุงเทพฯ จากที่เห็นปริมาณน้ำเจ้าพระยาและป่าสัก มีน้ำท่วมอยุธยาและเพชรบูรณ์ อีกส่วนคือน้ำท่วมในกรุงเทพฯ แถวถนนศรีนครินทร์ ถนนเฉลิมพระเกียรติ อุดมสุข อ่อนนุช หลายคนจึงกังวลว่าจะเป็นเหมือนปี 54 ซึ่งไม่เกี่ยวกัน เพราะกรุงเทพฯ มี 3 น้ำ คือ น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน คือฝนที่ตกในกรุงเทพฯ ไม่เกี่ยวกับน้ำเหนือที่จะเหมือนปี 54 หากมีฝนตกมากก็จะต้องใช้เวลาระบาย โดยสถานการณ์ “น้ำฝน” ของ กทม. ปีนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยปี 54 อยู่ 9% ใน 3 ปี เราได้ปรับปรุงจุดเสี่ยงน้ำท่วมไปแล้ว 737 จุด จะไม่มีน้ำท่วมหนักหรือท่วมนาน แต่จะมีน้ำท่วมในพื้นที่บ้าง อนาคตด้วยสภาวะโลกร้อนจะทำให้โลกมีฝนตกมากขึ้น จากปีนี้จะเห็นว่ามีฝนตก 100 มิลลิเมตร บ่อย ก็จะมีน้ำท่วมในบางพื้นที่ แต่จะไม่เห็นน้ำท่วมนาน

“น้ำหนุน” กทม.เรามีเขื่อนป้องกันริมเจ้าพระยาตลอดแนวเขตของกรุงเทพฯ ระยะประมาณ 60กว่า กม. ระดับน้ำสูงสุดเมื่อ 5 ต.ค. ที่ระดับ 2.02 เมตร ห่างจากระดับเขื่อน 1.5 เมตร มีระยะที่มีความปลอดภัยไม่น่าเป็นห่วง และที่มีการพยากรณ์ระดับน้ำสูงสุดวันที่ 10-11 ต.ค.นี้ ก็ยังไม่น่าห่วง ในส่วนจุดฟันหลอแนวเขื่อน 32 แห่ง แก้ไขไปแล้ว 22 เหลือ 10 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้ได้เรียงกระสอบทรายที่ เตรียมไว้ 1,120,000 ใบ สำนักการระบายน้ำเรียงตามจุดฟันหลอและรั่วซืมไปแล้ว 200,000 ใบ ที่เหลือกระจายไปตามเขตเพื่อช่วยเหลือประชาชนจุดต่างๆ ส่วนที่จะมีปัญหาน้ำท่วมในชุมชนนอกเขื่อน 11 ชุมชน 320 หลังคาเรือน ก็ได้เข้าดูแลทำสะพานเดินให้

“สถานการณ์ปัจจุบันไม่น่าเป็นห่วง ไม่ได้มีสภาวะวิกฤตที่จะใกล้เคียงกับปี 54 ผมเชื่อว่าจากปี 54 เรามีการบริหารจัดการดีขึ้นมาก มีองค์ความรู้ดี การบริหารจัดการระบายน้ำต่างๆดี น้ำอาจไม่ได้น้อยกว่าปี 54 แต่การบริหารจัดการดีกว่า ขอให้พี่น้องประชาชนคลายความกังวล สถานการณ์อยู่ในสิ่งที่ควบคุมได้ หากไม่มีพายุหนักเข้ามาอีกเชื่อว่าจะผ่านฤดูฝนนี้ไปด้วยดี สรุปว่ามั่นใจรับมือได้” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

นายฐนโรจน์ สรุปสถานการณ์น้ำเหนือ ว่า สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ ปัจจุบันมีความจุอยู่ที่ 96% คาดว่าจะมีความจุอยู่ที่ 100% พอดี เขื่อนแควน้อย ปัจจุบันน้ำล้นแล้วมีน้ำที่ลงมาเติมกับลำน้ำน่าน ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนน้อยกว่าปริมาณน้ำที่ระบายลง ซึ่งระดับน้ำในเขื่อนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ เขื่อนภูมิพลปัจจุบันมีความจุอยู่ที่ 89% คาดว่าจะไม่ล้น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์คาดว่าน้ำจะล้น จึงมีการสลับเพิ่มการระบายน้ำในช่วงที่น้ำเหนือกำลังลงมาเพิ่มการระบายน้ำสูงสุด 6,000  ลบ.ม./วินาที

ขณะที่เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีการปรับการระบายน้ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์มีแนวโน้มสูงมากไปกว่านี้ น้ำ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับสถานการณ์น้ำในปี 2554 พบว่าปีนี้มีพายุ จำนวน 5 ลูกเช่นเดียวกับปี 2554 ปริมาณน้ำท่าในปี 2554 มีปริมาณน้ำไหลผ่านที่จังหวัดนครสวรรค์ 4,578 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ปี 2568 อยู่ที่  2,748 ลบ.ม./วินาที ส่วนการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในปี 2554 อยู่ที่ 3,162 ลบ.ม./วินาที และปี 2568 อยู่ที่ 2,500  ลบ.ม./วินาที ซึ่งแม้จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นก็จะมีการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในระดับเท่านี้ และจะส่งผลไม่ให้ปริมาณน้ำสูงเกินกว่านี้แล้ว

ในส่วนของข้อมูลจากสำนักการระบายน้ำรายงานสถานการณ์น้ำเหนือ วันที่ 6 ต.ค.68 ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ 89 % เขื่อนสิริกิติ์ 96 % เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน 100 % และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 73 % โดยทั้ง 4 เขื่อนหลักยังสามารถรับน้ำได้อีก 2,042 ล้านลบ.ม. ประกอบกับสภาวะระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณกองบัญชาการกองทัพเรือ (กรุงเทพมหานคร)และพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงวันที่ 9-12 ต.ค.68 เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง ฐานน้ำทะเล ระดับ +1.18 ถึง +1.20 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ม.(รทก.) จะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแนวเขื่อนชั่วคราว แนวฟันหลอ ระดับน้ำดังกล่าว ยังไม่ส่งผลกระทบต่อแนวป้องกันน้ำท่วม

สถานการณ์ฝนในเดือนตุลาคม ช่วงวันที่ 9-14 ต.ค.68 มีฝนกระจาย และฝนตกหนักบางแห่ง ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกกรุงเทพฯและปริมณฑล เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านต้องระวังฝนตกหนัก และฝนตกสะสมโดยเฉพาะพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา และลุ่มน้ำต่าง ๆ อาจมีระดับสูงขึ้น ช่วงวันที่ 15-20 ต.ค.68

จากสถานการณ์น้ำที่กล่าวมา จุดสังเกตปริมาณน้ำที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำปี 2554 เท่ากับ 3,930 ลบ.ม./วินาที ในขณะที่ปริมาณน้ำปี 2568 ปัจจุบันเท่ากับ 2,421 ลบ.ม./วินาที (โดยมีความจุลำน้ำ 3,600 ลบ.ม./วินาที) จะเห็นได้ว่า ปริมาณน้ำไหลผ่านต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้แผนการปรับการระบายน้ำตอนเหนือของกรมชลประทาน จะทำให้ปริมาณน้ำเหนือที่จะไหลผ่านกรุงเทพมหานครมีปริมาณลดลง จึงไม่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมเช่นปี 2554

036

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top