สกู๊ปพิเศษ : เกษตรกรบ้านแพ้วเปิดสูตรเลี้ยงกุ้ง “ระบบพัฒนา”  ป้องกันโรค ผลผลิตแน่นอน มีกำไร

สกู๊ปพิเศษ : เกษตรกรบ้านแพ้วเปิดสูตรเลี้ยงกุ้ง “ระบบพัฒนา” ป้องกันโรค ผลผลิตแน่นอน มีกำไร

วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag :

กลุ่มเกษตรกรทำประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เผยเคล็ดลับปรับสูตรเลี้ยงกุ้งเป็น “ระบบพัฒนา” รับมือความเสี่ยง ตอบโจทย์เกษตรกร กุ้งแข็งแรง ได้ผลผลิตดี แน่นอน ทำกำไรได้ตามเป้าหมาย เน้น การจัดการคุณภาพน้ำ และกรองน้ำเข้มข้น 

นายสนิท แดงพยนต์ ประธานกลุ่มเกษตรกรทำประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 ในอ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเลี้ยงกุ้งต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องโรคระบาดทำให้ผลผลิตเสียหาย กระทบต่อเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรทำประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 มีสมาชิกทั้งหมด 293 ครัวเรือน โดยมีทั้งเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง มีทั้งปลาชนิดอื่น ๆ ด้วย เช่น ปลากระพง ปลาสลิด ปลานิล สำหรับสมาชิกในกลุ่มมีการเลี้ยงแบบพัฒนา จึงมีแนวทางการเลี้ยงกุ้งอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิผล รับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ได้ดี โดยมีระบบการจัดการฟาร์มและการป้องกันความปลอดภัยเป็นพิเศษ เพื่อให้ฟาร์มมีความปลอดภัยจากโรคระบาด และสิ่งแปลกปลอมหรือสัตว์มารบกวนกุ้งในบ่อ การป้องกันในบ่อเลี้ยงกุ้งที่ดี และการจัดการน้ำจึงเป็นหัวใจสำคัญ ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมน้ำก่อนปล่อยกุ้ง ก็จะมีการกำจัดศัตรูกุ้ง เช่น พวกปลา ก่อนปล่อยน้ำลงบ่อเลี้ยง 


ภาพรวมของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงการเลี้ยงจากเดิมไปมาก โดยเฉพาะขนาดของบ่อเลี้ยงกุ้งไม่ได้เป็นบ่อใหญ่มาก บ่อขนาดใหญ่สุดไม่เกิน 3 ไร่ บ่อเลี้ยงมีการพัฒนา เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงทำหลุมกลางบ่อช่วยกำจัดของเสียในบ่อ บ่อที่พัฒนาแล้วแบบนี้สามารถปรับไปเลี้ยงสัตว์น้ำได้ทุกชนิดทั้งปลากะพงและปลาสลิด  หมายถึง  บ่อเดียวกันสามารถแยกประเภทสัตว์น้ำที่เลี้ยงได้ ถ้าแนวโน้มตลาดกุ้งไม่ดีก็ปรับไปเป็นปลากะพงได้ 

“วิธีการและเทคโนโลยีที่เราใช้ในการป้องกันศัตรูและโรคกุ้ง เป็นพื้นฐานความรู้ที่เราได้รับจากการที่เราอยู่ในเขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งเกษตรกรตระหนักอยู่แล้วว่าต้องมีการป้องกัน เพราะเราลงทุนไปเยอะ หากไม่เตรียมการป้องกัน ทุนก็อาจจะกลับคืนมาไม่ครบ  ฉะนั้น เราต้องระมัดระวังป้องกันอย่างเข้มข้นเพื่อไม่ให้มีโอกาสพลาด ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สมาชิกที่เลี้ยงกุ้งของกลุ่มได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำแพร่ระบาดเข้ามาในฟาร์มน้อยมาก  เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มมีการเลี้ยงกุ้งแบบพัฒนา โดยหลัก คือ มีวางระบบการกรองน้ำป้องกันอย่างดี แต่ก็มีบ้างที่หลุดรอดเข้าไปในบ่อพักน้ำแต่ก็ถือว่าไม่มาก ผมประเมินว่าไม่เกิน 10% หากเทียบกับผลกระทบปัจจัยเสี่ยงด้านอื่น อย่างโรคระบาด” นายสนิทกล่าว

นายสนิทกล่าวเพิ่มเติมว่า หากจะให้คำแนะนำแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั่วไป ในการต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เข้ามารุมเร้า และคงรักษาอาชีพไว้ เรามองว่าเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ  การทำระบบกรองน้ำต้องลงทุนอุปกรณ์เพิ่มเป็นสิ่งจำเป็น เพราะระบบการกรองน้ำที่กลุ่มเกษตรกรของเราใช้เป็นผ้ากรองน้ำแบบตาถี่มากๆ ผ้ากรองนี้จะแข็งแรง สามารถกรองได้ตั้งแต่ตัวปลา ไข่ปลา และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้ แม้แต่น้ำขุ่นก็ยังรอดไม่ได้ สำหรับกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงกุ้งที่มีบ่อขนาดใหญ่และอยู่ชายทะเล จะต้องลงทุนเพิ่ม ฟาร์มชายทะเลส่วนใหญ่เขาใช้วิธีการดึงน้ำเข้าผ่านประตูน้ำซึ่งไม่สามารถกรองไข่ปลาเข้าบ่อได้

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดจากความแตกต่างของขนาดบ่อเลี้ยงของกลุ่มเรา และกลุ่มเลี้ยงริมทะเลมีความแตกต่างกัน เช่น ขนาดบ่อกลุ่มเราเล็กสุดประมาณ 3 งาน และใหญ่สุดประมาณ 3 ไร่ แต่ถ้าเป็นบ่อชายทะเลจะนับเป็น 10 ไร่ขึ้นไปจนถึงเป็น 100 ไร่ก็มี ซึ่งหากเขาจะลงระบบกรองน้ำอย่างกลุ่มเรา อาจจะต้องใช้เงินเยอะมาก เพราะบ่อเขามีขนาดใหญ่ 

ต่อคำถามที่ว่า ตลาดของกุ้งยังคุ้มค่ากับการลงทุนระบบการเลี้ยงที่ต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่ นายสนิท กล่าวว่า ราคาไม่ดีถ้าเทียบกับความเสี่ยง โดยขณะนี้เกษตรกรจะมีกำไรเป็นบางช่วงเท่านั้น อย่างช่วงฤดูนี้ (นับตั้งแต่กรกฎาคมเป็นต้นไป) ราคาไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง มีกำไรก็จริงแต่กำไรไม่มาก เช่น  กุ้งไซส์ 30 ตัว/กก. ราคาขายประมาณ 200 บาท  ส่วนต้นทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 150 - 170 บาทคือมีกำไรอยู่ แต่กำไรบาง ประมาณ 30-50 บาท/กก.

“การเลี้ยงกุ้ง มีความเสี่ยงก็จริง แต่ความเร็วรอบมันเร็วกว่า เช่น ในปีหนึ่งอาจจะทำได้ประมาณ 4 รอบ และสามารถจำกัดความเสียหายได้ เช่น ถ้าหากกุ้งตายหรือโดนระบาดก็อาจจะเสียหายแค่รอบนี้แล้วลงใหม่

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำนั้น อยากให้กรมประมงขยายโครงการจับปลาหมอคางดำลงไปสู่คลองย่อย ๆ หรือคลองเล็ก ๆ ในชุมชน  พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนจากการกำจัดมาเป็นการส่งเสริมให้นำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์จะดีกว่า 

ด้าน นายจรูญ ทรัพย์ศิริ หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม เล่าเสริมว่า การเลี้ยงกุ้งต้องอาศัยความใส่ใจในทุกขั้นตอน องค์ความรู้และประสบการณ์ก็มีความสำคัญในการประยุกต์ใช้ป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ตอบโจทย์เกษตรกรมีขีดการแข่งขันสูงขึ้น ผลผลิตตามเป้าหมาย จัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธภาพ  การเลี้ยงกุ้งในทุกวันนี้ หัวใจอยู่ที่การจัดการน้ำให้สะอาด ช่วยให้กุ้งมีการเติบโตที่ดี ปลอดโรค ดังนั้น เกษตรกรจึงปรับให้พื้นที่เลี้ยงเหลือมีเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดของฟาร์ม ส่วนพื้นที่ 2 ใน 3 ถูกจัดสรรเป็นบ่อพักน้ำ บ่อตกตะกอน  บ่อเก็บน้ำพร้อมใช้ 

เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องโรคระบาดและสิ่งแปลกปลอมที่มาจากนอกฟาร์ม ส่วนผลกระทบจากปลาหมอคางดำถือว่าไม่มาก ที่ฟาร์มมีการป้องกันตั้งแต่การดึงน้ำเข้าสู่บ่อพักน้ำโดยใช้ตาข่ายกรองน้ำที่มีตาถี่ที่ละเอียดสูง แข็งแรง โอกาสปลาหมอคางดำหรือไข่หลุดรอดเข้ามาถึงบ่อมีน้อยมาก

แต่หากมีปลาหมอคางดำหลุดเข้ามาในฟาร์มจะมีการเตรียมการไว้ โดยปล่อยปลากะพงลงเลี้ยงในบ่อตกตะกอน ซึ่งเป็นบ่อที่กรองตะกอนน้ำก่อนส่งมาที่บ่อพักน้ำพร้อมใช้ เพื่อให้ปลากะพงช่วยกำจัดปลาหมอคางดำตัวเล็กๆ  ซึ่ง ผลที่ได้ ปลากะพงช่วยกำจัดปลาหมอคางดำได้จริง และปลากะพงยังจับมาจำหน่ายได้ราคาดี เป็นรายได้เสริมให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง

ส่วนการเลี้ยงกุ้งอย่างไรให้สำเร็จ นายจรูญแบ่งปันแนวทางว่า การเลี้ยงให้รอด ผลผลิตแน่นอน การจัดการต้นทุนต้องดี  เคล็ดลับของเกษตรกรการจัดการพื้นบ่อเลี้ยงกุ้ง เดิมบ่อเลี้ยงกุ้งเริ่มจากบ่อดิน พอมีโรคระบาดมาจึงเปลี่ยนมาเป็นปูพื้นบ่อด้วยพลาสติก PE ซึ่งจากประสบการณ์และเก็บข้อมูลมาตลอดมองว่า พื้นบ่อปูด้วยพลาสติก PE เต็มบ่อทั้งหมดไม่ตอบโจทย์เรื่องผลผลิต จึงปรับมาใช้เป็นปูพื้นบ่อด้วยพลาสติก PE เพียง 2 ส่วนของพื้นบ่อ และปล่อยที่เหลือให้เป็นบ่อดิน ปรากฎว่าได้ผลผลิตดีกว่า  เพราะดินจะช่วยคายแร่ธาตุที่ดีให้กุ้ง ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่ดูดซับของเสียหรือเศษอาหารในบ่อ ซึ่งทำให้ระบบการจัดการน้ำในบ่อสะอาดขึ้น กุ้งอยู่สบาย ปลอดโรค ทำให้กุ้งแข็งแรง โตดี ได้ผลผลิตแน่นอนตามเป้าหมาย 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top