1.ในระบบราชการของประเทศไทย มีการยืมตัวบุคลากรของหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งไปปฏิบัติงานให้กับหน่วยงานของรัฐอีกแห่งหนึ่งได้โดยหน่วยงานของรัฐทั้งสองแห่งทำความตกลงกันและให้ความยินยอมโดยพิจารณากำหนดระยะเวลาพร้อมทั้งเหตุผลและความจำเป็นประกอบกันโดยเฉพาะกรณีของหน่วยงานตั้งใหม่ที่ยังขาดบุคลากรปฏิบัติงานในด้านต่างๆ ตามภารกิจของหน่วยงานนั้นๆ
2.กระบวนการยืมตัวไปช่วยราชการเป็นการใช้อำนาจการบริหารราชการของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่จะต้องพิจารณาให้ความช่วยเหลือกันโดยมีมติคณะรัฐมนตรีรองรับไว้หลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือการไม่อนุมัติให้มีการยืมตัวไปช่วยราชการที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด
3.ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มีการบัญญัติหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการให้ข้าราชการพลเรือนไปเพิ่มพูนประสิทธิภาพโดยการให้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศไทยตามระเบียบก.พ.ว่าด้วยการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของข้าราชการพลเรือนโดยการให้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ พ.ศ.2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ดูรายละเอียดได้ตามหนังสือเวียนก.พ.ที่ ว.10/2554 และ ว.15/2562) เท่าที่ผ่านมามีคนใช้ช่องทางนี้น้อยมาก เพราะว่าไม่สะดวกเท่าการขอยืมตัวไปช่วยราชการนะครับ
4.ครั้งนี้มีประเด็นปัญหาจากการที่มีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกขึ้น และมีการยืมตัวข้าราชการหรือพนักงานจากหน่วยงานของรัฐมาช่วยดำเนินกิจการตั้งแต่เริ่มต้นโดยมีกำหนดระยะเวลาตามที่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันอออกอาศัยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2560 เรื่องการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ 17มกราคม พ.ศ.2560 เป็นการชั่วคราว (มาตรา 73 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561) ขอให้มาช่วยปฏิบัติงาน
4.1 หากข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐนั้น ประสงค์จะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสำนักงานนี้ก็ให้แสดงความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 90 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
4.2 เมื่อได้ผ่านการคัดเลือกหรือประเมินจากเลขาธิการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และได้รับการบรรจุเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสำนักงานแล้วให้เป็นวันออกจากราชการหรือออกจากงานแล้วแต่กรณี (มาตรา 73 วรรคหนึ่ง)
5.ตรงนี้มีหลักเกณฑ์เพิ่มเติมอีก 2 ประการคือ
1) การออกจากราชการหรือออกจากงานในกรณีนี้ ถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ส่วนลูกจ้างเป็นการออกจากงานเพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดและได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลัง (มาตรา 73 วรรคสอง)
2) ในกรณีที่ผู้ที่ออกจากราชการหรือออกจากงานยังมีสัญญาที่จะต้องรับราชการหรือปฏิบัติงานเพื่อชดใช้ทุนไม่ครบตามระยะเวลาที่กำหนด ก็ให้นับระยะเวลาที่มาปฏิบัติงานกับสำนักเป็นการรับราชการหรือปฏิบัติงานตามสัญญานั้นได้ เรียกว่าให้นับระยะเวลาปฏิบัติงานดังกล่าวเป็นระยะเวลาชดใช้ทุนได้ด้วย (มาตรา 73 วรรคสาม)
6.สำหรับประเด็นปัญหาที่ไปหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็น 2 กรณีคือ กรณีที่หนึ่งมีการยืมตัวพนักงานของหน่วยงานของรัฐมาปฏิบัติงานที่สำนักงานโดยเป็นพนักงาน จะถือว่าเป็นไปตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกฯ หรือเป็นการบรรจุให้เป็นพนักงานของสำนักงานและออกจากงานแล้วตามมาตรา 73 ดังกล่าวข้างต้น
กรณีที่สอง หากพนักงานผู้นั้นได้รับอนุมัติจ้างเป็นพนักงานของสำนักงานตามมาตรา 73 จะถือเป็นการออกจากงานเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายจัดตั้งของหน่วยงานเดิมหรือไม่ และตำแหน่งที่พนักงานผู้นั้นครองอยู่ในหน่วยงานเดิม จะถูกยกเลิกหรือยุบด้วยหรือไม่ อย่างไร
7.คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาแล้วมีความเห็นโดยสรุป ตามประเด็นดังต่อไปนี้
1) ประเด็นที่หนึ่ง พนักงานผู้นี้ได้ดำเนินการครบถ้วน ถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามมาตรา 73 หรือไม่ อย่างไร
คณะกรรมการฯ มีความเห็นโดยสรุปว่าพนักงานผู้นี้ได้ถูกขอยืมตัว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(สกรศ.) มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560ถึง 30 กันยายน 2561 ครั้งที่สอง ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามมาตรา 38แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกฯ(สกพอ.) มีกำหนดระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 พฤศจิกายน 2561
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี