เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมนายทิวา การกระสัง ทนายความ เดินทางมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328
ทั้งนี้ คำฟ้องระบุพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2562 เวลากลางวัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จำเลยขณะปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่อาคารรัฐสภา ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในฐานะ กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ด้วยข้อความลักษณะเปรียบเทียบเป็นพืชที่ไร้ประโยชน์และมีเนื้อหาที่สื่อความหมายกล่าวหาหรือใส่ความโจทก์ทำนองว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แจกเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนโจทก์ในการปลดจำเลยออกจากการเป็นประธาน กมธ. ที่มีเจตนามุ่งทำลายชื่อเสียงโจทก์ ทำลายความน่าเชื่อถือโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.และ กมธ. และเป็นการพูดในลักษณะดูถูกดูแคลนโจทก์ ซึ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่า โจทก์เป็น ส.ส.ไร้ประโยชน์ โดยถ้อยคำนั้นล้วนเป็นเท็จ
ส่วนที่โจทก์เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะประชุมเพื่อเสนอปลดจำเลยออกจากการเป็นประธาน กมธ. ดังกล่าว นั้น เป็นการเสนอความเห็นต่อสื่อมวลชนในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์และจำเลยตามอำนาจหน้าที่ และข้อบังคับการประชุมสภาฯ และข้อบังคับการประชุมกรรมาธิการฯ โจทก์เป็น ส.ส. ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ไม่เคยทำหน้าที่ใดๆให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่จำเลยเคยตำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นประธาน กมธ. เคยเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย คำพูดของจำเลยจึงทำให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่ประชาชน จำเลยซึ่งมีฐานะและตำแหน่งดังกล่าว ต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนและเยาวชน ไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี อันจะทำให้ประชาชนและเยาวชนเลียนแบบ โจทก์จึงขอให้ศาลพิจารณาลงโทษจำเลยสถานหนัก และขอให้มีการเพิ่มโทษจำเลยในฐานะนักกฎหมาย แต่ทำผิดกฎหมายเสียเองด้วย เหตุเกิดที่อาคารรัฐสภา ถ.สามเสน แขวงนครไชยศรี เขตดุสิต กทม.
หลังยื่นฟ้องแล้ว ศาลได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบเป็นคดีหมายเลขดำ อ.3078/2562 นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 3 ก.พ. 2563 เวลา 09.00 น.
โดยนายสิระ ให้สัมภาษณ์ว่า ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นตน ทำนองว่าเราแจกกล้วย ซื้อเสียง และเป็น ส.ส. สวะ เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามตน ท่านเป็นอดีต ผบ.ตร. และเป็นอดีตวีรบุรุษนาแก ตอนนี้เป็น ส.ส. และประธาน กมธ. ปราบทุจริตฯ ท่านต้องรับผิดชอบคำพูดของท่าน คำพูดนั้นเอ่ยชื่อตนตลอดเวลา นายสิระ มาจากไหน เราเป็นตัวแทนประชาชนมาจากการเลือกตั้ง ถ้าไม่ดีจริงประชาชนไม่เลือกมาเป็นผู้แทนราษฎร ญาติพี่น้องและเพื่อนที่เดือดร้อนเห็นตนถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ก็อาจต้องไปแจ้งความตามโรงพักต่างๆ ด้วย ระดับผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบ คำพูดเป็นนายเรา
“เราก็คงจะต้องให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย ผมรับไม่ได้ เสียใจนะครับ ที่ตอนเด็กๆ เราคิดว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพ วันเกิดของท่าน ผมไปเกือบทุกปี ไปอวยพรวันเกิดท่านที่บ้าน แต่พอถึงเวลาทำการเมืองยังทำการเมืองแบบนี้ ผมก็คงหมดความเคารพท่านแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานร่วมกันใน กมธ.” นายสิระ กล่าว
เมื่อถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เชี่ยวชาญกฎหมาย มั่นใจว่า จะชนะคดีหรือไม่ นายสิระ กล่าวว่า ประวัติของท่านแพ้คดีที่ศาลปกครอง ที่ย้ายลูกน้องเป็นนายเวรลงใต้นอกฤดูกาล ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายเวร ซึ่งเป็นคำสั่งมิชอบของท่าน เป็นกรณีที่นักศึกษากฎหมายต้องเรียน ที่ตนได้มา เพราะนักศึกษาส่งให้ดู นักกฎหมาย อัยการ ศาล ทนายก็ติดคุกเยอะแยะ ใครละเมิดกฎหมายต้องรับผิดชอบไป ไม่ใช่เป็นตำรวจจะไม่ติดคุก ตำรวจอยู่ในคุกเต็มเลย
นายสิระ กล่าวว่า มั่นใจในพยานหลักฐานสิ่งที่ท่านกล่าวล่วงเกินตน บอกว่า ตนเด็ก สุดท้ายก็อย่าให้เด็กทำอย่างนี้สิ เหมือนเด็กทำอะไรท่านอยู่ก็แล้วกัน เพราะท่านทำกับเด็กอย่างนี้ อยากให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูถูกเหยียดหยามคนอื่นมาโดยตลอด ว่าคนอื่นไม่รู้กฎหมาย ชี้หน้า กมธ. ไม่รู้จบอะไรมา ท่านไม่เข้าใจคำว่า ส.ส. ซึ่ง ส.ส. ไม่จำเป็นต้องจบกฎหมาย ต่างสาขาต่างอาชีพแต่ประชาชนเลือกมา ถ้าจบกฎหมายก็ไปเป็นอัยการ ศาล ทนาย ทั้งนี้ ก็ให้ศาลวินิจฉัยถึงที่สุด มาขึ้นโรงขึ้นศาลตอนแก่ เพราะอะไรให้ท่านพิจารณาดู
นายสิระ กล่าวถึงกรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กเอกสารคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาประธาน กมธ. ล่วงหน้า โดยมีลายเซ็นของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ว่า เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ คำสั่งแต่งตั้งเปรียบเสมือนคำสั่งโดเรมอน ต้องนั่งไทม์แมชชีน ไปดูว่า กมธ. ลงมติแต่งตั้งใครบ้าง มีโดเรมอนเท่านั้นที่ทำได้ ต้องรับผิดชอบไม่ว่า จะเป็นคนเซ็นหรือคนเผยแพร่ ถ้าคนเซ็นบอกไม่ได้เซ็น คนเผยแพร่ก็เผยแพร่ความเท็จ ใครจะรับผิดชอบยืดอกออกมา ซึ่ง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ไปดำเนินคดีที่ สน.ทองหล่อ แล้ว เรื่องนายวัฒนา เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ และแจ้ง ปอท. เราต้องคุยใน กมธ.ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังมีความเหมาะสมในการเป็นประธานหรือไม่ เพราะมีผลกระทบกับ กมธ. ทั้งคณะและสภาผู้แทนราษฎร มีระเบียบข้อบังคับ มีเกียรติและศักดิ์ศรีที่ควรจะรักษาไว้ เรื่องการแต่งตั้งยังไม่พูดกันเลย แต่ความผิดสำเร็จแล้วว่าเซ็นก่อนมีมติ กมธ. และนายวัฒนา ไปเผยแพร่แล้ว
นายสิระ ยังตอบคำถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีรุกที่ดินที่ จ.ภูเก็ตว่า วันที่ 25 พ.ย. นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะลงไป เหตุที่วันก่อนตนไม่ได้รับหนังสือจากประชาชน เพราะคณะดังกล่าวไปยื่นกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่สภาฯ แล้ว และยื่น ส.ส.ภูเก็ตแล้ว ซึ่งคาบเกี่ยวกัน จึงไม่รับยื่น วันนั้นตนไปดูเรื่องผืนป่า ไม่ได้ตกลงว่าจะไปรับหนังสือ หากยื่นแล้วเรารับมาไม่รู้จะไปไหน ก็ไปที่เดียวกัน
ด้านนายทิวา การกระสัง ทนายความ กล่าวเสริมว่า ถ้อยคำที่พูดเปรียบเทียบ เช่น เหมือนวัชพืชที่ต้องทำลายนั้น ก็เป็นคำหนึ่งที่หมิ่นประมาท และค่อนข้างร้ายแรง ซึ่งคนที่อยู่ในฐานะประธาน กมธ.ปราบทุจริตฯ มาพูดกล่าวหาคนอื่นทุจริตลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานนั้น นอกจากเข้าข่ายกล่าวเท็จแล้วยังหมิ่นประมาทด้วย ส่วนของคดีนี้เรามีคำขอ 3 ข้อ
1.ให้จำเลยแถลงข่าวต่อวิทยุรัฐสภา และโทรทัศน์ช่องเนชั่น , ไทยรัฐทีวี , ทีวีช่อง 3 , ช่อง 7 , ช่องพีพีทีวี เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันเพื่อขอโทษโจทก์ตามข้อความที่โจทก์กำหนด
2.ให้จำเลยแถลงข่าวขอโทษโจทก์ และลงข่าวขอโทษตามข้อความที่โจทก์กำหนด ใน นสพ.ไทยรัฐ , มติชน , ข่าวสด , เดลินิวส์ , บางกอกโพสต์ , ฐานเศรษฐกิจ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน
3.ให้จำเลยแถลงข่าวขอโทษโจทก์ ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในเว็บไซต์ข่าวสด , ไทยรัฐ , เนชั่น , สยามรัฐ ด้วยข้อความที่โจทก์กำหนด
นายทิวา กล่าวด้วยว่า หลังจากยื่นฟ้องคดีอาญาหมิ่นประมาทนี้แล้ว วันนี้ตนยังจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย เพื่อพิจารณาให้ส่งคำร้องของตนไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การทำหน้าที่ประธาน กมธ.ปราบทุจริตฯ การใช้ดุลยพินิจและอำนาจเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ไปชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ กมธ.คณะดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 128 และข้อบังคับการประชุมสภาฯ พ.ศ.2562 ข้อ 90 (22) หรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งไม่รับคำร้องคดี ต.37/2562 ไว้แล้ว ซึ่งเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ครม.ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 161 ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรใดตามรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดีคำสั่งนั้นมีผลบังคับเสมือนคำวินิจฉัย จึงต้องผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ การที่ กมธ.มีความเห็นว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ผูกพัน กมธ.นั้น แล้วจะมีอำนาจเรียกนายกฯ – รองนายกฯ มาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เกินอำนาจหน้าที่กฎหมายกำหนดหรือนอกเหนืออำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 128 หรือไม่.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี