“ป.ป.ช.” มีหนาว! เปิดเหตุผลมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ฟ้องตรงต่อศาลชั้นต้นได้ ชี้ขั้นตอน ส.ส.-ส.ว.เข้าชื่อเป็นเพียงอีกหนึ่งเส้นทาง ส่วนเนื้อหาคดี “สุรพงษ์” ฟ้อง ป.ป.ช. ที่ดำเนินคดีกรณีออกพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” โดยมิชอบยกฟ้อง
12 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ชั้นตรวจคำฟ้อง หมายเลขคดี 5673/2562 ที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) , นายณรงค์ รัฐอมฤต , น.ส.สุภา ปิยะจิตติ , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ , นางสุวณา สุวรรณจูฑะ , พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ , นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร, นายปรีชา เลิศกมลมาศ และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. เป็นจำเลยที่ 1-9 ฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปรามปรามการทุจริต
คดีนี้ นายสุรพงษ์ ฟ้อง ป.ป.ช. จากกรณีที่ ป.ป.ช. เรียกนายสุรพงษ์ไปรับทราบข้อหาฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีนายสุรพงษ์ออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมิชอบ ซึ่งต่อสู้ในหลายประเด็น เช่น จำเลยที่ 8-9 ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ขัดต่อประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 19 ข้อ 4
จำเลยที่ 1-6 ยินยอมให้จำเลยที่ 7-9 ลงลายมือชื่อในบันทึกข้อกล่าวหาโดยมิชอบ , นายวิรัตน์ กัลยาศิริ และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 139 คน ผู้ยื่นร้องถอดถอนโจทก์โดยไม่ระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน และโต้แย้งนายภักดี โพธิศิริ ขาดคุณสมบัติเป็นกรรมการ ป.ป.ช. แต่เข้าร่วมประชุมพิจารณาและลงมติ
ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง โจทก์ยื่นฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นหรือไม่
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้ง 2 สภา ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากรรมการผู้ใดร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น เป็นเพียงบทบัญญัติที่เพิ่มช่องทางในการดำเนินคดีแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีอำนาจฟ้องกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 (2) โดยยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง (1)
ส่วน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 3 วรรคสาม (1) บัญญัติว่า มิให้คดีทุจริตและประพฤติมิชอบรวมถึงคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1-7 ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 1-7 จึงมิใช่คดีที่ ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้ง 2 สภา ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 มีสิทธิเข้าชื่อกันตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง อันจะอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (3) ที่มีผลใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นในคดีนี้ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของจำเลยที่ 1-7 ได้ และที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 8-9 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของจำเลยที่ 1-7 ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของจำเลยที่ 8-9 ได้ด้วย ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 3 วรรคสอง (5) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1-9 ต่อศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนเนื้อหาคดีที่นายสุรพงษ์ โจทก์ยื่นฟ้องต่อสู้นั้น ศาลฎีกาได้อ้างอิงตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำวินิจฉัยในคดีหมายเลขดำ อม.51/2560 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์เป็นจำเลยนี้แล้ว ซึ่งเมื่อได้มีการวินิจฉัยกระบวนการประชุม ลงมติ และไต่สวนข้อเท็จจริงชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเหตุแห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1-9 ตามข้ออ้างโจทก์ในคดีนี้จึงยังรับฟังไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนยกฟ้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี