หลังจากกรุงเทพมหานครมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยตรงจากประชาชนตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2518 และบริหารงานได้เพียงปีเศษ ได้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ราชการกรุงเทพ มหานคร นายกรัฐมนตรี นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้มีคำสั่งตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 ให้ผู้ว่าราชกกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่งและให้ยุบสภากรุงเทพมหานคร และแต่งตั้งบุคคล ภายนอกเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานครแทนเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2528
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2528 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 โดยยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 ซึ่งทำให้กรุงเทพมหานครมีอิสระในการบริหารมากขึ้น และสาระสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่ที่แตกต่างไปจากฉบับเดิมในบางประการมีดังต่อไปนี้
ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปพิจารณาแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ 4 คน แทนการเลือกตั้ง
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นคณะ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในคณะผู้บริหารดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ไม่มีการลงประชามติให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่ง
การยุบสภากรุงเทพมหานคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจยุบสภากรุงเทพมหานครได้ เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยื่นข้อเสนอพร้อมเหตุผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยุบสภา
ถ้ามีการยุบสภากรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย
มีสภาเขตทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการเขต
กรุงเทพมหานครมีอำนาจออกข้อบัญญัติเกี่ยวกับการคลังและการรักษาทรัพย์สินของกรุงเทพมหานครแทนการใช้ระเบียบของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการมีอำนาจสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ที่ค้างชำระภาษีไม่ต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง เป็นต้น
ให้ข้าราชการกรุงเทพมหานครบางตำแหน่ง และข้าราชการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่สำหรับปฏิบัติหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มีกิจการในอำนาจหน้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด การผังเมือง การขนส่ง การควบคุมอาคาร การควบคุมความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและอนามัยในสาธารณสถานอื่นๆ เป็นต้น
สามารถตั้งสหการ เพื่อดำเนินกิจการในอำนาจหน้าที่ได้
ในเนื้อหาสาระของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 กับ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน แต่ได้ปรับปรุงถ้อยคำและเพิ่มแนวความคิดใหม่ๆ ในสาระสำคัญหลายประการ เพื่อให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อแก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องในการบริหารราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น
พระราชบัญญัติฉบับนี้ เป็นพระราชบัญญัติที่กรุงเทพมหานครยังคงยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ณ ปัจจุบัน ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 5 ฉบับด้วยกัน คือ
1) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528
2) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534
3) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539
4) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2542
5) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2550
เนื่องด้วย สภาพการณ์ในแต่ละช่วงเวลานั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ต้องปรับเปลี่ยนข้อกฎหมายบางประการให้สอดรับการสภาพความเป็นจริงของเหตุการณ์ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ด้วยสภาพการเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมของความเจริญในด้านต่างๆ และทำให้การมองภาพของประเทศไทย นั่นคือ กรุงเทพมหานคร ที่ทำให้เกิดการหลั่งไหลความเจริญต่างๆ ให้เข้ามาสู่กรุงเทพมหานคร รวมถึงทางด้านการเมืองที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่การเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครกับระดับประเทศ รวมถึงการบริหารงานของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงทำให้กรุงเทพมหานครมีลักษณะโดดเด่นกว่าการบริหารงานในรูปแบบอื่นของประเทศ
จากวัตถุประสงค์ของการกำหนดรูปแบบกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงหรือนครหลวง กอปรกับสภาพการบริหารราชการแผ่นดินของไทย ซึงเป็นราชอาณาจักรรัฐเดี่ยวประสมประสานกับการบริหารนครหลวงที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศจึงทำให้ กรุงเทพมหานครจากที่เคยเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาครวม 2 จังหวัด พระนครและธนบุรี กลายเป็นการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษกรุงเทพมหานคร จึงไม่มีสภาพเป็นจังหวัดตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย จึงมิใช่ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
โดยที่ พ.ร.บ.ระเบียบบริหาราชการแผ่นดินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ตลอดจน ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ปรากฏชัดว่ากรุงเทพมหานครเป็นนิติบุคคลและเป็นรูปแบบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษจึงมีโครงสร้างและการบริหารราชการเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงมิใช่จังหวัดตามการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเหมือจังหวัดทั่วไป 76 จังหวัด การได้มาซึ่งผู้บริหารจึงไม่เหมือนกัน กล่าวคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยทั่วไปมาจากการมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง จากพระมหากษัตริย์ ส่วนผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ (กรุงเทพมหานคร) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เช่นเดียวกันกับ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และนายกเมืองพัทยา แต่กลับใช้ชื่อเรียกผู้บริหารกรุงเทพมหานครว่าเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ซึ่งตามตำนานของการก่อตั้งกรุงเทพมหานคร มีว่า ให้ใช้ชื่อผู้ว่าราชการ (จังหวัด) กรุงเทพมหานครไปพลางก่อน แม้ต่อมาก็ไม่ได้คิดที่จะดำเนินการเปลี่ยนชื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้แตกต่างไปจากชื่อ ผู้ว่าราชการจังหวัดอีก 76 จังหวัด ทั้งที่มีที่มาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพื่อให้มีความชัดเจนที่ชี้ให้เห็นถึงระบบการบริหาราชการแผ่นดินของไทย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดให้ประเทศไทยมีการปกครองตามระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้โดยมีรูปแบบความสัมพันธ์ ระหว่างการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
ได้มีหลักวิชาการเปรียบเทียบระหว่างการบริหารราชการทั้ง 3 ส่วนไว้ดังนี้
ประกอบกับความเห็นของม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง และในฐานะประธานหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เปิดเผยว่า จากการเป็นอาจารย์พิเศษ ณ สถาบันการศึกษาระดับสูงหลายแห่ง หลายฝ่ายมีข้อพิจารณาถึงชื่อตำแหน่งผู้บริหารทางการเมืองของกรุงเทพมหานคร สมควรที่จะปรับเปลี่ยนจาก“ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (Governor of BangkokMetropolitan)” เป็น “นายกเทศมนตรีกรุงเทพมหานคร (Lord Mayor of Bangkok Metropolitan)”
โดยสาเหตุที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทางการศึกษาได้ถูกต้องว่าประเทศไทยมีรูปแบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วย 76 จังหวัด ไม่ใช่ 77 จังหวัดตามที่มีการกล่าวกันอย่างผิดๆ กับอีกทั้งชื่อของตำแหน่งที่เป็นภาษาอังกฤษ คือ Lord Mayor ยังถือเป็นเกียรติต่อผู้บริหาร กทม. ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับ Lord Mayor of the City of London(นายกเทศมนตรีมหานครลอนดอน) Mayor of New York City(นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก) และนครสำคัญแห่งอื่นๆ ของโลก
ทั้งนี้ตั้งแต่อดีตตราบจนปัจจุบัน คำว่า “ผู้ว่าราชการ” จะสื่อความหมายถึงบุคคลผู้เป็นข้าราชการประจำ (Civil Servant) ซึ่งรูปแบบการบริหารจัดการของ กทม. จัดเป็นรูปแบบการปกครองท้องถิ่น(Local Administration) เช่นเดียวกับเมืองพัทยา อบจ. เทศบาล และอบต. ซึ่งนักเรียนนักศึกษามีความสับสนในการทำความเข้าใจ และจำแนกแยกแยะได้ไม่ถูกต้องระหว่างรูปแบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค คือ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัดนายอำเภอ แรงงานจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ฯลฯ ซึ่งต่างทำหน้าที่ดำรงความเป็นหนึ่งประเทศเดียวกัน และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น คือ ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. นายกเมืองพัทยา นายก อบจ. นายกเทศมนตรี และนายก อบต. ฯลฯ การพิจารณาปรับเปลี่ยนชื่อตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นจะก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องและเหมาะสม
พิจารณาได้ว่า การที่ใช้ชื่อว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาตั้งแต่ต้น (ซึ่งได้มีผู้เสนอไว้ว่าควรใช้ชื่อ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพราะยังหาชื่อที่เหมาะสมที่ไม่ซ้ำกับชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไปพลางก่อน) จึงไม่เข้ากับบริบทของกฎหมายและข้อเท็จจริงตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากจังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรี ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาค มาเป็นกรุงเทพมหานคร (ไม่มีคำว่าจังหวัด) อันเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษ สอดคล้องกับรูปแบบและโครงสร้างการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป (อบจ. เทศบาล และอบต.) รวมทั้งการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คือ เมืองพัทยา ที่มีการเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นจากประชาชนโดยตรง เป็นการกระจายอำนาจ แต่มิได้เป็นการแบ่งอำนาจ (Sharing Power) จากส่วนกลางแต่อย่างใด(ซึ่งถ้าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดถือว่าเป็นการรับมอบหรือแบ่งพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์นั้นเอง จึงต้องมีระบบรับมอบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง) โดยเหตุนี้เองผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการกระจายอำนาจจากรัฐบาลโดยให้มีการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงจึงไม่มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
แต่เนื่องจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน จึงทำให้พรรคการเมือง นักการเมืองบางส่วน ที่ต้องการให้มีการกระจายอำนาจไปยังจังหวัดในลักษณะเบ็ดเสร็จ (แทนที่จะเป็นไปอย่างปัจจุบัน โดยมีส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นตัวแทนของส่วนกลางคอยประสานกำกับดูแลการเมืองท้องถิ่นให้กับรัฐบาลกลาง เพื่อจะได้บริหารเหมือนสหรัฐในต่างประเทศที่ไม่ต้องผูกพันกับส่วนภูมิภาค (ส่วนกลาง) จึงมีแนวความคิดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเหมือนกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งมาสอดคล้องกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้นเพื่อป้องกันความสับสนจึงควรเปลี่ยนชื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นชื่ออื่นที่ไม่เหมือนกับผู้ว่าราชการจังหวัดในส่วนภูมิภาคของไทย อาจจะใช้ชื่อว่านายกเทศมนตรีกรุงเทพมหานครหรือนายกกรุงเทพมหานครหรือผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ฯลฯ แล้วแต่จะเห็นเหมาะสมตามหน้าที่อำนาจของกรุงเทพมหานคร
ฝ่ายวิชาการ
สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี