"วิษณุ" ชี้คลายล็อกระยะที่ 2 ใช้เกณฑ์ระยะแรกพิจารณา แย้มอาจผ่อนคลาย 4 ข้อเดิม พร้อมใช้สถิติผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิต-ผู้ป่วยสะสมเป็นตัวชี้วัดร่วม ยอมรับพิจารณาช่วงเวลาเคอร์ฟิวแต่ยังคงพรก.ฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 2 ว่า ทางเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้แล้ว เพื่อประเมินสถานการณ์และนำข้อมูลไว้รายงานต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ โดยยึดหลักเกณฑ์ระยะที่ 1 ซึ่งขณะนี้ได้ผ่อนปรนมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ จึงต้องประเมินพิจารณาผ่อนปรนในระยะที่ 2 โดยจะต้องพิจารณาถึงโอกาสเสี่ยงของบุคคล สถานที่ กิจกรรมต่างๆ
ทั้งนี้ โอกาสเสี่ยงบุคคล ในคนบางประเภทไม่เสี่ยง แต่บางประเภทเสี่ยง เช่น การอยู่บ้านกับการเดินทางเด็กกับผู้ใหญ่ ส่วนในเรื่องของสถานที่เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด ผับ บาร์ กับโอกาสเสี่ยงของกิจกรรม ซึ่งบางอย่าง 5-10 คนมารวมกันถือว่าเสี่ยง แต่บางกิจกรรมไม่เสี่ยงเพราะมีวิธีการดูแล โดยสรุปแล้วต้องพิจารณาเรื่องคน สถานที่ และกิจกรรมพร้อมกันนี้ต้องพิจารณาถึงตัวเลขผู้ป่วยสะสม ผู้ที่รักษาหาย และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงหรือไม่
"สิ่งเหล่านี้จะเป็นดัชนีชี้วัด แต่อาจมีสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ ไม่สามารถผ่อนคลายได้ทั้งหมด เพราะยังมีการละเมิดข้อกำหนดที่ห้าม เช่น ละเมิดเคอร์ฟิวและยังมีการเดินทางข้ามจังหวัด แม้เราไม่ได้ห้ามการเดินทางแต่ก็ทำให้อันตรายมีโอกาสเสี่ยง ซึ่งที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะมีวันหยุดหลายวัน แต่หลังจากนี้จะไม่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน จะมีอีกทีหนึ่งประมาณเดือน มิ.ย. นอกจากนี้ยังมีผู้เดินทางเข้าในประเทศจำนวนมาก ตรงนี้ยังต้องคุมอยู่"นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีผู้ประกอบการต้องการให้ผ่อนคลายช่วงเวลาเคอร์ฟิว รองนายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้เขาก็กำลังดูกันอยู่ แต่ตนยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะผ่อนคลายจุดนี้หรือไม่ ส่วนเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มองว่าจะยกเลิกได้ในระยะเวลาไหน หลังจากที่เห็นสถานการณ์โควิด-19 เบาลงนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า เร็วไปที่จะพูดในขณะนี้ เพราะเพิ่งผ่านมาครึ่งเดือน พ.ค. อีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงวันที่ 31 พ.ค. ยังตอบอะไรไม่ได้ในตอนนี้ แต่เรื่องการประกาศเคอร์ฟิวต้องใช้ควบคู่กับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่หลายอย่างสามารถใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อได้ แต่ก็มีจุดอ่อน เพราะพ.ร.บ.โรคติดต่อไม่ได้ให้อำนาจอะไรกับรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็นการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด
"หาก 77 จังหวัดรวมทั้งกทม.ใช้มาตรการคนละมาตรฐานกันจะลำบาก ขณะเดียวกันผู้ว่าฯเองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะสั่งปิดหรือเปิด เช่น ถ้าไปสั่งปิดอะไรแล้วเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่อประเทศ ทำให้มีคนตกงานและคนเหล่านี้วิ่งมาขอความช่วยเหลือรัฐบาลกลาง เพราะจังหวัดเยียวยาไม่ได้ ตรงนี้ทำให้ผู้ว่าฯไม่มีความมั่นใจในการใช้อำนาจ กลัวว่าทำไปแล้วจะกระทบ จะแย่หรือไม่"นายวิษณุ กล่าวย้ำ
รองนายกฯ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลกลางมีอำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถสั่งการได้ทีเดียวทั่วประเทศ เมื่อรัฐบาลกลางสั่งปิดอะไรก็ต้องมั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นจะต้องลงไปเยียวยา เพราะหากผู้ว่าฯใดสั่งปิดกิจการและทำให้ได้รับผลกระทบต่อประชาชนจะให้กระทรวงการคลังมาเยียวยา กระทรวงการคลังก็คงไม่เยียวยาให้ ตรงนี้คือช่องว่างหากไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า การพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะนำเสนอข้อมูลต่อที่ประชุมใหญ่ ศบค.นั้น อาจจะมีการผ่อนคลาย 4 มาตรการ ที่ภาครัฐตั้งไว้ในระยะที่ 1
เมื่อถามว่า การผ่อนคลายกิจกรรมต่าง ๆ อาจมีเพิ่มนอกเหนือจากที่ศบค.แถลงไปหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ เขาพิจารณาหมดทุกรายการแต่ตนไม่ทราบ ไม่อยากพูดให้ความหวัง ถ้าเขาไม่เปิดแล้วจะเสียคนทั้งตนและสื่อ แต่กิจการไหนที่เปิดไปแล้วพฤติกรรมเกิดความเสี่ยงอีกก็สามารถปิดได้ทันที จะปิดเฉพาะร้าน เฉพาะราย หรือทั้งประเภทเลยก็ได้ แต่กิจการโรงแรมภาครัฐไม่เคยสั่งปิดเพียงแต่ไม่มีคนมาพักก็ต้องปิดอัตโนมัติ ตอนนี้โรงแรมสามารถเปิดกิจการของตัวเองได้และยังให้เปิดร้านอาหารในโรงแรมได้ด้วย เช่นเดียวกับรีสอร์ท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี