"เชาว์"ชี้ช่องรื้อคดี"โอ๊ค" เชื่อยื่นอุทธรณ์ใหม่ได้ ยกคำวินิจฉัยอัยการสูงสุดที่41/2533-เทียบคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุชัดการชี้ขาดคดีเป็นอำนาจเฉพาะตัวของอสส. มอบใครทำแทนไม่ได้ คำสั่งรองอสส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แนะดีเอสไอยื่นศาลปกครองสั่งเพิกถอน บี้อสส.กวาดบ้านตัวเอง ก่อนความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมตั้งต้นจะล้มละลาย
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chao Meekhuad" เรื่อง "ชี้ช่องข้อกฎหมาย จุดตาย คดี "โอ๊ค พานทองแท้" ที่จะต้องนับหนึ่งใหม่ มีเนื้อหาระบุว่า คดี นายพานทองแท้ ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตฟอกเงินแบ๊งค์กรุงไทยปล่อยสินเชื่อให้บริษัทในเครือกฤษฎามหานคร โดยมีเช็คเงินลงชื่อนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารบริษัที่ได้สินเชื่อจากแบ๊งค์กรุงไทยจำนวน 10 ล้านบาท เข้าบัญชีนายพานทองแท้ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตพิพากษายกฟ้อง ซึ่งต่อมานายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด มีคำสั่งชี้ขาดใม่ยื่นอุทธรณ์ ทั้งๆ ที่อธิบดีดีเอสไอมีความเห็นแย้งให้อุทธรณ์และผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนมีความเห็นแย้งให้ลงโทษจำคุกนายพานทองแท้ แต่คดีกลับจบลงด้วยการใช้ดุลพินิจของรองอัยการสูงสุด ทำให้คดีถึงที่สุดตามกฎหมาย สร้างความเคลือบแคลงสงสัยในการสั่งคดีของรองอัยการสูงสุดจนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุต่อไปว่า มีนักกฎหมายหลายคนได้นำเรื่องนี้ไปยื่นต่อปปช.และยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้เอาผิดรองอัยการสูงสุดฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบตาม ปอ.157 แต่ผมเห็นว่ายังมีประเด็นหนึ่งที่หลายคนไม่เคยมีคนพูดถึงเลยคือ เรื่องอำนาจการชี้ขาดความเห็นแย้งหรืออำนาจในการสั่งคดี ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ที่ถือเป็นดุลพินิจเฉพาะตัวเฉพาะตำแหน่งทางกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะและไม่อาจมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทนได้ ตามคำวินิจฉัยอัยการสูงสุดที่ 41/2533 และเทียบเคียงแนวคำสั่งฎีกาที่ 30/2542
นอกจากนี้ ยังเทียบเคียงได้กับเรื่องการรับรองอุทธรณ์หรือฎีกาตาม ป.วิอาญา ซึ่งในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจะแยกอำนาจของอธิบดีอัยการหรืออัยการสูงสุดระบุไว้แจ้งชัด ดังนั้นการสั่งคดีชี้ขาดความเห็นแย้งของนายเนตร รองอัยการสูงสุด ถึงแม้จะอ้างว่าได้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะขณะสั่งคดีนายเนตรไม่ใช่อัยการสูงสุด ผมจึงขอเสนอให้อธิบดีดีเอสไอในฐานะพนักสอบสวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนำประเด็นนี้ไปยื่นต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนคำชี้ขาดไม่อุทธรณ์ของรองอัยการสูงสุดดังกล่าวเสีย เนื่องจากเป็นคำสั่งที่สั่งโดยไม่มีอำนาจจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้อัยการสูงสุดทำความจริงประเด็นนี้ให้กระจ่าง ตามแนวคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด เพราะเรื่องนี้หลักสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์แต่อยู่ที่คนชี้ขาดไม่มีอำนาจ
"ทั้งหมดเป็นความเห็นในฐานะนักกฎหมายที่ไม่ต้องการเห็นความเสื่อมเกิดกับองค์กรอัยการ ซึ่งเป็นทนายของแผ่นดิน และเพื่อรักษาหลักนิติธรรมของบ้านเมือง ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของดีเอสไอในฐานะเจ้าของสำนวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องเดินเรื่องต่อเพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งจะเป็นช่องทางให้คดีกลับเข้าสู่สถานะเดิมในอำนาจชี้ขาดของอัยการสูงสุดตามกฎหมาย คดีจะได้ขึ่นสู่การพิจารณาของศาลสูงตัดสินให้สิ้นกระแสความ ส่วนอัยการสูงสุดก็ต้องไม่ละเลยประเด็นนี้ต้องดำเนินการทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ให้สาธารณชนรับทราบ การชี้ขาดคดีที่ยังเป็นปัญหาให้ถึงที่สุดลงดื้อๆ ทั้งที่มีความเห็นแย้งทั้งผู้พิพากษาและอธิบดีดีเอสไอ อย่าให้ใครกล่าวหาได้ว่า พอเป็นคดีคนรวยแล้วเป่ากันได้ง่ายๆ เพราะมิฉะนั้นจะทำให้ความน่าเชื่อถือต่อสถาบันอัยการล้มละลายในสายตาของประชาชน" นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี