เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2563 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์ ครป.ฉบับที่ 6/2563 หยุดเศรษฐกิจผูกขาด และอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจการค้าไทย
ตามที่คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (SVN.) ร่วมกันจัดเวทีอภิปรายสาธารณะเรื่อง “หยุดเศรษฐกิจผูกขาดและอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจการค้าไทย” ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยนั้น
เครือข่ายภาคประชาชนมีความเห็นและข้อสรุปร่วมกันว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องร่วมกันหยุดเศรษฐกิจผูกขาดและอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจการค้าไทย โดยร่วมกันตั้งคำถามกับนโยบายทุนนิยมประชารัฐและเศรษฐกิจผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทย เพื่อร่วมกันแก้ไขไม่ให้ประเทศไทยต้องกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้อันดับหนึ่งของโลกอีกต่อไป
เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 และที่ผ่านมาได้กำหนดให้รัฐบาลจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ รวมถึงพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจมีอํานาจเหนือตลาดและกําหนดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมให้ผู้ประกอบธุรกิจอื่น หรือกีดกันการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นอย่างไม่เป็นธรรม
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเครือข่ายภาคประชาชนซึ่งได้ติดตามนโยบายทางเศรษฐกิจและการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้สัญญาสัมปทาน โครงการร่วมทุนภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนและโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่ารัฐบาลได้ทำตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้าและกติการัฐธรรมนูญที่บังคับใช้อยู่หรือไม่ ได้สร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและการป้องกันเศรษฐกิจผูกขาดอย่างจริงจังหรือไม่ แต่องค์กรภาคประชาชนพบว่านโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมานั้น กลับสวนทางกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และส่งเสริมให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่กลุ่มทุนที่ร่ำรวยมั่งคั่งอยู่แล้วให้ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษ รวมถึงการยกเว้นภาษีรวมถึงการให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่นักลงทุนต่างชาติผ่านนโยบายการส่งเสริมการลงทุน นับเป็นภัยคุกคามความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบใหม่ ผ่านการครอบครองเศรษฐกิจและสงครามการแย่งชิงทรัพยากรภายใน ที่อาจส่งผลร้ายต่อสังคมและความมั่นคงของประเทศไทยในระยะยาว
ดังนั้น คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ จะต้องร่วมกันตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอํานาจเหนือตลาดและการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 อย่างเคร่งครัด เพื่อขจัดการผูกขาดเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังต่อไป โดยมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอคัดค้านนโยบายทุนนิยมประชารัฐและขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผูกขาดในประเทศไทย โดยบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 อย่างเคร่งครัดและอย่างมีประสิทธิภาพต่อการกระทำที่เข้าข่ายผูกขาดตลาดหรือครอบงำตลาดเกินกึ่งหนึ่งของบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศซึ่งพบว่ายังมีอยู่จำนวนมากในระบบตลาดการค้าไทย โดยประกาศมาตรการที่ป้องกันและไม่อนุญาตให้เอกชนกลุ่มใดถือครองตลาดในด้านนั้นๆ เกินกึ่งหนึ่งของตลาดตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะธุรกิจการค้าปลีกของกลุ่มบริษัทซีพีออลล์ (CP ALL) ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอุปโภคและบริโภคในประเทศไทยกว่า 67.9% และเทสโก้โลตัส (Tesco Lotus) อีกกว่า 16.07% ซึ่งหากทั้งคู่ควบรวมบริษัทกันแล้วจะมีมูลค่าสูงกว่า 83.97% ซึ่งน่าจะเป็นการผูกขาดตลาดไกรเซอรีของไทยในที่สุด และธุรกิจผูกขาดดังกล่าวอาจได้ผลประโยชน์ส่วนเกินมากมายจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาโดยไร้มาตรการควบคุมจากภาครัฐเพื่อกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม
2) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มงวดในการพิทักษ์ดูแลสิทธิผู้บริโภคในตลาดการค้าไทย ที่ถูกเอาเปรียบมาโดยตลอดโดยไร้การดูแล และขอคัดค้านการเอื้อประโยชน์ของอำนาจทางการเมืองที่ไปสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในธุรกิจการบิน ค้าปลีก ร้านค้าปลอดภาษี ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต การผูกขาดเหล้า-เบียร์โดยกฎหมายที่เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ไม่กี่เจ้า รวมถึงสถาบันการเงินและการธนาคารไทยที่ขูดรีดอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ ที่มีอัตราที่สูงมากในสถาบันธนาคารไทยโดยไร้การควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดจากธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาล
3) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอคัดค้านนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) ที่ถูกตั้งคำถามในระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่สร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่อง โดยคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจะต้องคำนึงว่าทิศทางการพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่ที่ไร้การแทรกแซงกำกับควบคุมจากรัฐไม่ใช่คำตอบของประเทศไทยอีกต่อไป เนื่องจากได้ส่งเสริมความเหลื่อมล้ำและมอบอำนาจการครอบครองโภคทรัพย์ส่วนเกินทั้งหลายไปให้กลุ่มทุนธุรกิจผูกขาด มากกว่าการเฉลี่ยทรัพยากรให้ประชาชนอย่างเป็นธรรมตามแนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตย (social-democracy) ที่รัฐเข้ามาจัดการระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ตลาดเสรีที่ปล่อยให้มือใครยาวสาวได้สาวเอาอีกต่อไป เนื่องจากกลุ่มทุนผูกขาดได้เข้าไปมีอิทธิพลในอำนาจทางการเมืองจนเข้าไปแย่งชิงทรัพยากรส่วนร่วมของสังคมเพื่อแปรเป็นมูลค่าทางการเงินทั้งจากทรัพยากรสาธารณะ งบประมาณภาครัฐ และสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ จำนวนมาก
4) ทิศทางประเทศไทยต้องเป็นทิศทางการพัฒนาเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รักษาระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่การส่งเสริมการลงทุนแบบเลือกปฏิบัติและการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมือนในยุคเก่า คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จึงขอคัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะที่กำลังผลักดันกันอยู่ผ่านนักการเมืองนายหน้าในพื้นที่ภาคใต้ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่เป็นกึ่งสัมปทานเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน โครงการสัมปทานพื้นที่ในสนามบินต่างๆ ที่พบว่ามีภาครัฐเสียประโยชน์ การให้ที่ดินและการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แก่กลุ่มทุนเอกชนต่างๆ ที่มั่งคั่งอยู่แล้วโดยไม่รู้จบ รวมถึงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC.) ฯลฯ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI.) ว่าส่งเสริมปัญหาความเหลื่อมล้ำและเศรษฐกิจผูกขาดหรือไม่ ซึ่งควรส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและให้ธุรกิจขนาดเล็กร่วมแข่งขันได้ โดยเน้นการใช้มาตรการเพิ่มภาษีต่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ผูกขาดตลาด แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บริษัทต่างชาติจำนวนมากโดยไม่มีรายงานต่อสาธารณะและการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI.) ควรเปิดเผยข้อมูลการส่งเสริมการลงทุนแก่กลุ่มทุนต่างๆ ทั้งหมดอย่างโปร่งใสในระบบอิเลคทรอนิกส์ เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการตรวจสอบจากประชาชน โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีในโครงการต่างๆ และการอนุญาตให้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บริษัทต่างชาติทั้งหมด
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยควรเร่งสนับสนุนและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนในท้องถิ่นต่างๆ นอกจากการเสริมสร้างอาชีพการงานในพื้นที่ที่สามารถขยายตัวอย่างกว้างขวางไปทั่วทุกท้องที่แล้ว ต้องสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจจากหลักประกันความมั่นคงทางอาหารที่คนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพด้านเกษตรกรรมและแรงงานในภาคการผลิตด้วย โดยเสริมสร้างเกษตรกรรมและอาหารที่ปลอดภัยในทุกภูมิภาค ผ่านการใช้ทรัพยากรในชุมชนอย่างยั่งยืนร่วมกัน ส่งเสริมการจัดการเศรษฐกิจโดยชุมชนและทรัพยากรป่าชุมชนบนดอยสูงในภาคเหนือ ถึงประมงชายฝั่งพื้นบ้านในภาคใต้ ส่งเสริมระบบการจัดการน้ำและการเกษตรกรรมสีเขียวโดยชุมชนในภาคอีสานหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวที่รับผิดชอบต่อสังคมในภาคตะวันออก เพื่อรองรับวิกฤตคนตกงานจำนวนมหาศาลอันใกล้นี้ และสัดส่วนประชากรสูงอายุที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต
5) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้มี “กฎหมายการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า” เหมือนนานาอารยประเทศ ยกเลิกนโยบายส่งเสริมการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ การลดหย่อนภาษีเงินได้และการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อส่งเสริมการลงทุนของกลุ่มทุนรายใหญ่ ทั้งนี้ เพื่อกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจและให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในท้องถิ่นที่รับผิดชอบเพื่อการพัฒนาพื้นที่ต่อไปด้วย แม้ว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยจะมีการบังคับใช้กฎหมายภาษีมรดกและภาษีที่ดินแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นระบบอัตราก้าวหน้าที่แท้จริงแบบที่มีการใช้แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำกันทั่วโลก ซึ่งต้องเพิ่มอัตราเพดานภาษีให้สูงขึ้นกว่าปัจจุบันและขึ้นแบบขั้นบันใดแบบในกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศต่างๆ ที่สามารถใช้กฎหมายภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้วมีการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าในรูปแบบต่างๆ มากมาย เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากกลุ่มทุนและคนที่ร่ำรวยอยู่แล้วไม่ควรได้รับการยกเว้นภาษี แต่ควรเก็บภาษีให้มากขึ้นเป็นลำดับเพื่อคืนส่วนเกินที่ได้กำไรไปจากสังคมในรูปแบบต่างๆ ที่รัฐเปิดโอกาสให้ โดยการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้าเพื่อคืนส่วนเกินระหว่างทาง และการเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้าคือการคืนส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้และเศรษฐกิจติดอันดับโลก ซึ่งส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรงทางสังคมมาอย่างต่อเนื่องจากโครงสร้างดังกล่าว คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐสภาจะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบผ่านกรรมาธิการด้านต่างๆ รวมถึงรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐจะต้องเข้ามากำกับดูแลแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยตรง แทนการสนับสนุนนโยบายและกฎหมายต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาดโดยการอ้างส่งเสริมการลงทุนเหมือนในยุคการพัฒนาทุนนิยมและอุตสาหกรรมเริ่มแรก ซึ่งเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วและนำมาสู่ปัญหาการกระจุกตัวทางอำนาจในปัจจุบันในรูปแบบทุนครอบงำรัฐและระบอบอำนาจนิยมอุปถัมภ์ในประเทศไทย
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเครือข่ายภาคประชาชนจะร่วมกันติดตามตรวจสอบและตั้งคำถามถึงนโยบายทุนนิยมประชารัฐและเศรษฐกิจผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่ที่ผูกขาดเศรษฐกิจการเมืองไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของรัฐบาลและแอบอิงอำนาจจนประเทศชาติเสียหายย่อยยับมาอย่างยาวนาน และขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดทุนธุรกิจผูกขาดและอำนาจเหนือตลาดในกลไกการค้าไทยทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมในประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี