วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ ศธ. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ศธ. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 49 วรรคสอง (2) บัญญัติให้ข้าราชการที่ไม่เป็นข้าราชการพลเรือน ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบริหารพัสดุ เป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตามกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐที่ข้าราชการนั้นสังกัดอยู่ และมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ประกอบกับมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามระเบียบที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
2. ก.ค.ศ. จึงได้กำหนดตำแหน่งและมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งมีลักษณะงานที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน ให้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
3. ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการพลเรือนและข้าราชการประเภทอื่น จึงเห็นควรกำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรการ 38 ค. (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนและข้าราชการประเภทอื่น ศธ. จึงได้ยกร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. …. ขึ้น
4. ในคราวประชุม ก.ค.ศ. ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบตามข้อ 3. และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
5. ศธ. ได้เสนอรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว โดยได้ประมาณการรายจ่ายสำหรับการกำหนดเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามร่างระเบียบในเรื่องนี้เป็นรายปี จำนวน 5 ปี รวมถึงการประมาณการรายจ่ายสำหรับตำแหน่งดังกล่าวที่มีการเลื่อนระดับในแต่ละปี ดังนี้
หน่วย : บาท
ส่วนราชการ |
ปีที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 |
ปีที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 |
ปีที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 |
ปีที่ 4 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 |
ปีที่ 5 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 |
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ |
92,000 |
112,000 |
132,000 |
152,000 |
172,000 |
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน |
1,839,000 |
2,005,000 |
2,005,000 |
2,005,000 |
2,005,000 |
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา |
72,000 |
72,000 |
72,000 |
72,000 |
72,000 |
รวม |
2,003,000 |
2,189,000 |
2,209,000 |
2,229,000 |
2,249,000 |
ทั้งนี้ การกำหนดเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ และปฏิบัติหน้าที่ด้านพัสดุได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งเป็นการป้องปรามการทุจริตคอรัปชั่นในส่วนราชการด้วย
จึงได้เสนอร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. ….
มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดให้บุคลากรทางการศึกษาซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการพัสดุและตำแหน่งเจ้าพนักงานพัสดุ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุในตำแหน่งเจ้าหน้าที่หรือหัวหน้าเจ้าหน้าที่ มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดในร่างระเบียบนี้
2. กำหนดให้จ่ายเงินเพิ่มตามร่างระเบียบนี้ให้แก่บุคลากรทางการศึกษาตามข้อ 1. ตั้งแต่วันที่บุคลากรทางการศึกษาดังกล่าวมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะมีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม แต่ต้องไม่ใช่ก่อนวันที่ร่างระเบียบนี้จะมีผลใช้บังคับ
3. กำหนดกรณีที่บุคลากรทางการศึกษารายใดมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษประเภทอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ในร่างระเบียบนี้อยู่ด้วยแล้ว ให้ได้รับเงินเพิ่มตามร่างระเบียบนี้หรือเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษประเภทอื่นที่มีอัตราสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว
4. กำหนดให้ผู้ที่ผ่านหลักสูตรมาตรฐานวิชาชีพด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (Certificate in Public Procurement – CPP) ที่ได้ดำเนินการก่อนวันที่ร่างระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรมาตรฐานวิชาชีพด้านการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐตามที่กรมบัญชีกลางกำหนดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในร่างระเบียบนี้
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์ และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์แต่ละประเภท พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์ และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์แต่ละประเภท พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กษ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กษ. เสนอว่า เนื่องจากมาตรา 33/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้ลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์ และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์แต่ละประเภท ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง กษ. โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงตามความในมาตรา 33/1 ดังกล่าว และได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารของกรมส่งเสริมสหกรณ์ สหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ ผู้แทนสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์บริการและสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน รวมทั้งผู้แทนสหกรณ์และข้าราชการของกรมส่งเสริมสหกรณ์ และนำผลการรับฟังความคิดเห็นมาประมวลและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมแล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์ และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์แต่ละประเภท พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดประเภทสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน และกำหนดลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์ และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์แต่ละประเภท ตามความในมาตรา 33/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ดังนี้
1. กำหนดลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์ และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์แต่ละประเภท ให้ถือปฏิบัติในการรับจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์และการรับจดทะเบียนข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.1 สหกรณ์การเกษตร จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้ประกอบอาชีพหลักทางเกษตรกรรม ภายในพื้นที่อำเภอเดียวกัน เพื่อดำเนินกิจการร่วมกันที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาการประกอบอาชีพ รวมทั้งส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิก ตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์การเกษตรอันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์ หรือเป็นสหกรณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนฐานะกลุ่มเกษตรกร
1.2 สหกรณ์ประมง จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้ประกอบอาชีพหลักทางการประมงที่เกี่ยวกับการจับสัตว์น้ำ การเลี้ยงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อดำเนินกิจการร่วมกันที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาการประกอบอาชีพ รวมทั้งส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิก ตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์ประมง อันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์ หรือเป็นสหกรณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนฐานะกลุ่มเกษตรกร
1.3 สหกรณ์นิคม จัดตั้งขึ้นในเขตนิคมสหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ หรือในพื้นที่ที่หน่วยงานภาครัฐกำหนด เพื่อให้สมาชิกได้รับที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม เพื่อดำเนินกิจการร่วมกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์นิคม อันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์
1.4 สหกรณ์ร้านค้า จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของคณะบุคคลเพื่อจัดหาสินค้าตามความต้องการของสมาชิกมาจำหน่าย การรวบรวมสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของสมาชิกมาจำหน่าย และดำเนินกิจการร่วมกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์ร้านค้า อันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์ แต่ต้องไม่เป็นลักษณะธุรกิจขายตรงหรือธุรกิจอื่นในลักษณะเดียวกัน
1.5 สหกรณ์บริการ จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้มีอาชีพหลักอย่างเดียวกัน หรือผู้ที่มีความต้องการรับบริการอย่างเดียวกัน เพื่อดำเนินกิจการร่วมกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์บริการอันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์ ตามลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียนในกรณีอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
1.5.1 ผู้มีอาชีพหลักอย่างเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกัน นอกเหนือจากผู้ประกอบอาชีพหลักทางเกษตรกรรมหรือทางการประมง เพื่อดำเนินกิจการร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของสมาชิกและต้องไม่เป็นการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อดำเนินกิจการทางการเงินเพียงอย่างเดียว
1.5.2 ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ภายในพื้นที่จังหวัดเดียวกัน ที่มีความต้องการรับบริการอย่างเดียวกัน เพื่อดำเนินกิจการร่วมกันในการให้บริการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสมาชิก หรือเป็นผู้ที่มีความเดือดร้อนเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง เพื่อดำเนินกิจการร่วมกัน ในการจัดหาหรือจัดสรรที่ดินหรือที่อยู่อาศัยโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ เช่าซื้อ เช่า หรือใช้ที่ดินที่รัฐหรือเอกชนยกให้เพื่อให้สมาชิกได้มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง
1.6 สหกรณ์ออมทรัพย์ จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของบุคคลที่ประกอบอาชีพหลักในสังกัดหน่วยงาน องค์กร หรือสถานประกอบการเดียวกันหรือในเครือเดียวกัน และเป็นผู้มีเงินได้รายเดือนหรือเงินได้ประจำที่หน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้างในสถานประกอบการสามารถหักเงิน ณ ที่จ่ายส่งให้แก่สหกรณ์ได้ เพื่อดำเนินกิจการทางการเงินร่วมกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์ออมทรัพย์ อันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์
1.7 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อดำเนินกิจการทางการเงินร่วมกันที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาสมาชิกตามวัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อันเป็นไปตามหลักการสหกรณ์ ในกรณีอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
1.7.1 ผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนเดียวกันหรือชุมชนใกล้เคียงกันภายในพื้นที่อำเภอเดียวกัน
1.7.2 ผู้ประกอบอาชีพหลักเดียวกันหรืออยู่ในสังกัด หน่วยงาน องค์กร หรือสถานประกอบการเดียวกัน แต่ไม่มีเงินได้ประจำหรือมีรายได้ไม่แน่นอน หรือหน่วยงานต้นสังกัดไม่สามารถหักเงิน ณ ที่จ่ายส่งให้แก่สหกรณ์ได้
1.7.3 กลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกันตามวงสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งทางสังคมเช่นเดียวกัน เช่น เป็นสมาชิกในสมาคมหรือมูลนิธิเดียวกัน และเป็นวงสัมพันธ์ที่มีการพบปะหรือทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ โดยให้กำหนดคุณสมบัติสมาชิกสหกรณ์ตามวงสัมพันธ์ดังกล่าวภายในพื้นที่จังหวัดเดียวกัน
รวมทั้งกำหนดขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการที่จะพึงดำเนินการได้ของสหกรณ์ดังกล่าว เพื่อกำหนดเป็นอำนาจกระทำการในข้อบังคับของสหกรณ์นั้น เช่น จัดหาทุนเพื่อดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ จัดหาปัจจัยการผลิต จัดให้มีบริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการ จัดให้มีสิ่งปลูกสร้างสำหรับกิจการของสหกรณ์หรือให้ บริการแก่สมาชิกฝากหรือลงทุนอย่างอื่นตามกฎหมายสหกรณ์ ให้สวัสดิการและการสงเคราะห์ตามสมควรแก่สมาชิก ส่งเสริมกิจกรรมกลุ่มของสมาชิก ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่สมาชิก และขอหรือรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากทางราชการ หน่วยงานของต่างประเทศ นิติบุคคลหรือบุคคลอื่นใด
2. กำหนดลักษณะชื่อของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน รวมถึงลักษณะชื่อที่ไม่สามารถรับจดทะเบียน เช่น ต้องไม่ซ้ำกับชื่อของสหกรณ์อื่นซึ่งได้รับจดทะเบียนไว้ก่อน ไม่ใช้คำว่า “แห่งประเทศไทย” ไว้ท้ายชื่อหรือเป็นส่วนหนึ่งของชื่อ รวมทั้งไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายอื่น ไม่คล้ายหรือสอดคล้องกับสถาบัน องค์กร หรือหน่วยงาน ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต้นสังกัดของสมาชิก
3. กำหนดให้ในการขอจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของสมาชิก คณะผู้จัดตั้งสหกรณ์จะต้องกำหนดแผนดำเนินการตามมาตรา 34 (2) แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 เพื่อดำเนินการขออนุญาตจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 หรือตามกฎหมายอื่นในลักษณะเดียวกัน ยกเว้นกรณีที่เป็นการเช่าที่ดินจากรัฐหรือเอกชน และห้ามมิให้สหกรณ์ดำเนินการจัดสรรที่ดินเพิ่มเติมในพื้นที่อื่นอีกและสหกรณ์จะต้องกำหนด
4. กำหนดให้สหกรณ์สามารถขอเปลี่ยนประเภทของสหกรณ์ได้ แต่สมาชิกจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียนในประเภทนั้น ๆ และจะต้องกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ อำนาจกระทำการ ให้เป็นไปตามประเภทของสหกรณ์นั้นด้วย
5. กำหนดให้นายทะเบียนสหกรณ์มีอำนาจกำหนดระเบียบในการรับจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ตามที่ พณ. เสนอ เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว และปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม เพื่อให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.1 กำหนดให้ยกเลิก
(1) ข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 แห่งกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด พ.ศ. 2544
(2) ลักษณะ 5 หลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว ข้อ 91 ข้อ 92 และข้อ 93 แห่งกฎกระทรวงกำหนดเครื่องวัดที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ชนิด ลักษณะ รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิต อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด และคำรับรองของเครื่องชั่งตวงวัด และหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. 2546
1.2 กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจในการผลิต นำเข้า หรือซ่อมเครื่องชั่งตวงวัด ต้องจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พร้อมแจ้งขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจและแจ้งการประกอบธุรกิจต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กรณีที่ไม่สามารถดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ให้ยื่น ณ สำนักงานกลางหรือสำนักงานสาขาที่มีเขตอำนาจในจังหวัดที่สถานที่ประกอบธุรกิจตั้งอยู่ ทั้งนี้ เครื่องหมายเฉพาะตัวให้ใช้ได้ต่อหนึ่งประเภทกิจการและเฉพาะกิจการ ที่กำหนดในหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจเท่านั้น
1.3 กำหนดให้ผู้ที่จะประกอบธุรกิจผลิต นำเข้า ขาย ซ่อมเครื่องชั่งตวงวัด หรือให้บริการชั่งสินค้าของผู้อื่น ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กำหนด เช่น
(1) มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร กรณีเป็นนิติบุคคลต้องจดทะเบียนหรือจัดตั้งตามกฎหมายไทยและมีสำนักงานอยู่ในราชอาณาจักร
(2) มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิที่จะใช้ประโยชน์ในสถานที่ประกอบธุรกิจที่มีสภาพมั่นคงและแข็งแรงตามหลักวิศวกรรม
(3) การประกอบธุรกิจผลิต นำเข้า หรือซ่อมเครื่องหมายชั่งตวงวัด ต้องมีบุคลากรซึ่งมีความรู้ความสามารถและได้รับหนังสือรับรองการผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่สำนักงานกลางกำหนด รวมทั้งต้องมีแบบมาตรา เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการประกอบธุรกิจตามที่สำนักงานกลางกำหนด
1.4 กำหนดให้เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าแบบแจ้ง ข้อมูล และเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน และผู้ประกอบธุรกิจปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวมารับหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจ พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจและค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจ
1.5 กำหนดให้การประกอบธุรกิจในปีถัดไป ให้ผู้ได้รับหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมเอกสารหลักฐานและชำระค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจ ยกเว้นการประกอบธุรกิจขายไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจ
1.6 กำหนดให้หนังสือรับรองการประกอบธุรกิจที่ได้ออกไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจตามกฎกระทรวงนี้
2. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม พ.ศ. .... สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
2.1 กำหนดให้ยกเลิก
(1) กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด พ.ศ. 2544
(2) กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549
2.2 กำหนดให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเครื่องชั่งตวงวัดที่ประสงค์จะเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม ต้องยื่นคำขออนุญาตพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานตามที่กำหนดต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กรณีไม่สามารถดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ให้ยื่น ณ สำนักงานกลางหรือสำนักงานสาขาที่มีเขตอำนาจในจังหวัดที่สถานที่ประกอบธุรกิจตั้งอยู่
2.3 กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขออนุญาตตาม 2.2 ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) มีหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจในการผลิตหรือซ่อมเครื่องชั่งตวงวัดชนิดที่จะขออนุญาตและแจ้งการประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยมาตราชั่งตวงวัด
(2) มีแบบมาตราชั่งตวงวัดตามจำนวนและพิกัดกำลังของเครื่องชั่งตวงวัดแต่ละชนิด ห้องปฏิบัติการหรือสถานที่พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็น และมีบุคลากรซึ่งมีความรู้ความสามารถในงานชั่งตวงวัดและได้รับหนังสือรับรองการผ่านการฝึกอบรมด้านชั่งตวงวัดจากหน่วยงานตามที่สำนักงานกลางกำหนด
2.4 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบคำขอเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมความเห็นเสนออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย พิจารณาออกใบอนุญาตให้แล้วเสร็จ ภายใน 10 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับคำขอ พร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน ทั้งนี้ ใบอนุญาตต้องระบุประเภท ชนิดของเครื่องชั่ง เครื่องตวงหรือเครื่องวัด และระยะเวลาการอนุญาตไว้ด้วย แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
2.5 กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตต้องรายงานผลการปฏิบัติงานต่อสำนักงานกลางหรือสำนักงานสาขาที่มีเขตอำนาจในจังหวัดที่สถานที่ประกอบธุรกิจตั้งอยู่ตามระเบียบที่สำนักงานกลางกำหนด
2.6 กำหนดให้ใบอนุญาตที่ได้ออกไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ใช้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุ
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ มท. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น พ.ศ. 2558 โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามและปรับปรุงหลักเกณฑ์และมาตรฐานเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของวัสดุและอุปกรณ์ของเครื่องเล่นรวมทั้งคุณสมบัติของพนักงานดูแลความปลอดภัยประจำเครื่องเล่นและผู้ควบคุมเครื่องเล่น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้เข้าใช้เครื่องเล่นมากยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น พ.ศ. 2558 ดังนี้
1. ปรับปรุงบทนิยามคำว่า “เครื่องเล่น” หมายความว่า สิ่งที่ก่อสร้างขึ้นสำหรับให้บุคคลใช้เล่นในสวนสนุกหรือในสถานที่อื่นใดเพื่อประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน และมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(1) มีการขับเคลื่อนด้วยกำลังของเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้าที่ทำให้ผู้เล่นเครื่องเล่นเคลื่อนที่ได้โดยมีความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(2) มีความสูงจากระดับพื้นที่ตั้งของเครื่องเล่นถึงระดับพื้นที่สูงที่สุดที่ผู้เล่นเครื่องเล่นขึ้นไปเพื่อเล่นเครื่องเล่นไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร หรือมีการเปลี่ยนระดับของผู้เล่นในขณะใช้งานไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร
(3) มีขนาดกำลังของเครื่องกลไม่น้อยกว่า 1.1 กิโลวัตต์ หรือ 1.5 แรงม้าแล้วแต่กรณี
(4) มีความลึกของระดับน้ำที่ใช้เล่นไม่น้อยกว่า 0.80 เมตร
2. กำหนดวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและที่ใช้กับเครื่องเล่น รวมถึงวัสดุชิ้นส่วนอุปกรณ์และเครื่องจักรกลที่ใช้ในระบบการทำงานต่าง ๆ ของเครื่องเล่นต้องมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารประกาศกำหนด
3. การกำหนดมาตรการความปลอดภัย เช่น จัดให้มีป้ายบอกทางหนีไฟด้วยตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนตลอดเวลา โดยมีขนาดความสูงของตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร และจัดให้มีเส้นทางหนีไฟกว้างไม่น้อยกว่า 0.90 เมตร และมีระบบไฟฟ้าแสงสว่างสำรองฉุกเฉินตลอดเส้นทางหนีไฟ
4. กำหนดคุณสมบัติของพนักงานดูแลความปลอดภัยประจำเครื่องเล่นและผู้ควบคุมเครื่องเล่นต้องเป็นผู้มีวุฒิการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง หรือสาขาช่างกลโรงงานขึ้นไป กรณีมีวุฒิการศึกษาในประเภทวิชาอุตสาหกรรมอื่นต้องผ่านการฝึกอบรมฝีมือแรงงานหรือการฝึกอาชีพในสาขาช่างไฟฟ้ากำลังหรือช่างกลโรงงานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมทั้งต้องผ่านการอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารประกาศกำหนด
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและจำนวนเงินเอาประกันภัยที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและจำนวนเงินเอาประกันภัยที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 32 ตรี แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ได้บัญญัติให้เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการสำหรับอาคารชนิดหรือประเภทตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 8 (16) ต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และจำนวนเงินเอาประกันภัยที่รัฐมนตรีกำหนดในกฎกระทรวงโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคาร เพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายหรือสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการก่อสร้างอาคาร สภาพของอาคาร การบำรุงรักษาอาคารหรือการใช้อาคาร
2. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว มท. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และจำนวนเงินเอาประกันภัย ที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... ขึ้น ซึ่งคณะกรรมการควบคุมอาคารได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2562
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและจำนวนเงินเอาประกันภัยที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้ายหรือรื้อถอนอาคารขนาดใหญ่ อาคารขนาดใหญ่พิเศษ และอาคารสูงของเอกชน ผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ดังนี้
1.1 เมื่อได้รับใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งให้ก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย หรือรื้อถอนอาคารแล้ว ก่อนเริ่มดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก โดยยื่นหลักฐานการจัดให้มีการประกันภัยเพื่อประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่มีระยะคุ้มครองตามระยะเวลาที่ใช้ดำเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย หรือรื้อถอนอาคารให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบก่อนเริ่มดำเนินการ
1.2 อาคารที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย หรือรื้อถอน หรือยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ที่มีระยะเวลาคุ้มครองไม่น้อยกว่าระยะเวลาตามอายุใบอนุญาต
2. กำหนดให้การใช้อาคารของเอกชน เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารชุมนุมคน โรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักในอาคารหลังเดียวกันตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายที่สูงจากพื้นดินตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตารางเมตรขึ้นไป หรือป้ายที่ติดหรือตั้งบนหลังคาหรือดาดฟ้าของอาคาร หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 25 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ดังนี้
2.1 เมื่อก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารแล้วเสร็จ หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ต้องจัดให้มีการประกันภัยโดยยื่นหลักฐานการจัดให้มีการประกันภัย เพื่อประกันความรับผิดของบุคคลภายนอกต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้ดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จ และให้ยื่นหลักฐานการจัดให้มีการประกันภัยเพื่อประกันความรับผิดของบุคคลภายนอกต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นทุกปีที่อยู่ระหว่างการใช้อาคารนั้น
2.2 อาคารที่มีอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ต้องจัดให้มีการประกันภัยโดยยื่นหลักฐานการจัดให้มีการประกันภัยเพื่อประกันความรับผิดของบุคคลภายนอกต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และให้ยื่นหลักฐานการจัดให้มีการประกันภัยเพื่อประกันความรับผิดของบุคคลภายนอกต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นทุกปีที่อยู่ระหว่างการใช้อาคารนั้น
3. กำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาลไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 5,000,000 บาทต่อครั้ง และคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอกไม่น้อยกว่า 500,000 บาทต่อครั้ง การได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยดังกล่าวไม่เป็นการตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น
4. กำหนดให้เจ้าของอาคารหรือผู้ครอบครองอาคารหรือผู้ดำเนินการที่ได้ทำการประกันภัยแล้ว ให้แสดงสำเนากรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ อาคารนั้น
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและจำนวนเงินเอาประกันภัยที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ รง. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า โดยที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553 มาตรา 4 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ประกอบกับมาตรา 21 (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านในงานเกี่ยวกับความร้อนจัดหรือเย็นจัดอันอาจเป็นอันตราย และงานอื่นที่อาจกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งลักษณะหรือประเภทของงานดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง รง. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน พ.ศ. .... เพื่อกำหนดประเภทหรือลักษณะงานเกี่ยวกับความร้อนอันอาจเป็นอันตราย และงานที่อาจกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทำงาน
ในคราวประชุมคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ครั้งที่ 2/2558 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 และครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน พ.ศ. .... แล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้าน ดังนี้
1. งานเกี่ยวกับความร้อนจัดอันอาจเป็นอันตราย ได้แก่ ลักษณะงานเกี่ยวกับความร้อนซึ่งทำให้ระดับความร้อนภายในสถานที่ทำงานที่มีผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงานอยู่เกินค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบ 34 องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาสองชั่วโมงของการทำงานติดต่อกัน
2. งานอื่นที่อาจกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้แก่ งานที่ทำเกี่ยวกับเลื่อยสายพาน และลักษณะงานที่ก่อให้เกิดเสียงดังที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านสัมผัสระดับเสียงเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงานแปดชั่วโมงเกินกว่า 85 เดซิเบล (เอ)
เศรษฐกิจ - สังคม
7. เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ให้ มท. (เมืองพัทยา) เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน เมืองพัทยา อำเภอ บางละมุง จังหวัดชลบุรี จาก “ท่าเทียบเรือคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมทางขึ้น – ลงเรือ บริเวณท่าเทียบเรือหน้าบ้าน เกาะล้าน” เป็น “การติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำสำเร็จรูป จำนวน 3 แห่ง บนพื้นที่เกาะล้าน เมืองพัทยา อำเภอ บางละมุง จังหวัดชลบุรี”
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. ในการประชุมการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้มีการพิจารณาแบบแปลนก่อสร้างท่าเทียบเรือที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ออกแบบไว้ โดยแบบแปลนดังกล่าวได้รับคำทักท้วงจากผู้เชี่ยวชาญของกรมเจ้าท่าในประเด็นเรื่องสะพานท่าเทียบเรือเดิมที่จะไม่ทำการทุบโครงสร้างสะพานทิ้งโดยมีลักษณะโครงสร้างทึบกีดขวางทิศทางการไหลของกระแสน้ำซึ่งขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ข้อ 4 (1) เป็นผลให้เมืองพัทยาต้องปรับปรุงแก้ไขแบบแปลนให้ถูกต้องก่อนยื่นขออนุมัติรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประกอบกับสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้เมืองพัทยาไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงท่าเรือหน้าบ้านได้และหากรอให้โครงการได้รับความเห็นชอบรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็จะทำให้ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
2. จากเหตุผลข้างต้น เมืองพัทยาจึงได้พิจารณาโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับรองลงมาที่จะต้องดำเนินการ (รวม 3 โครงการ) ซึ่งอยู่ภายใต้แผนงานและผลผลิตของโครงการเดิม วงเงิน 127.50 ล้านบาท ดังนี้
วิธีการ |
สาเหตุของการดำเนินการ |
ประโยชน์ |
งบประมาณ (ล้านบาท) |
1. ก่อสร้างท่าเทียบเรือโดยสารปรับระดับบริเวณท่าเทียบเรือหน้าบ้าน |
|||
ติดตั้งทุ่นลอยน้ำ |
ไม่มีท่าเทียบเรือเร็วทำให้ต้องจอดเทียบเรือกับสะพานคอนกรีตทำให้ผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกและอาจก่อให้เกิดความเสียหายกรณีมีคลื่นลมแรง |
- รับ – ส่งผู้โดยสารที่มากับเรือเร็วได้เพิ่มขึ้น - มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น - ประหยัดเวลาและ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง |
38.02 |
2. ปรับปรุงสะพานของศูนย์แพทย์ชุมชนบ้านเกาะล้าน |
|||
ติดตั้งท่าเรือลอยน้ำยื่นออกไปในทะเล |
ศูนย์แพทย์ต้องลำเลียงผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บไปลงเรือที่หาด ตาแหวนซึ่งมีทุ่นลอยน้ำอเนกประสงค์ที่สามารถจอดเรือเร็วและเรือพยาบาล จึงอาจทำให้ผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ |
- สามารถเทียบท่าได้ทั้งช่วงน้ำขึ้นและน้ำลง - สามารถส่งตัวผู้ป่วยให้มารักษาที่ฝั่งพัทยาได้อย่างทันท่วงที |
41.48 |
3. ปรับปรุงท่าเทียบเรือปรับระดับหาดแสม |
|||
ติดตั้งทุ่นลอยน้ำที่มีโครงสร้างโปร่งไม่ต้านน้ำ |
ทุ่นลอยน้ำเดิมชำรุดและเสื่อมสภาพจากคลื่นทะเลในช่วงฤดูมรสุม (จะซ่อมแซมทุ่นเดิมและนำไปติดตั้งในหาดที่มีคลื่นลมสงบกว่า) |
ลดแรงปะทะจากคลื่นและลดปัญหาการซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง |
48.00 |
ซึ่งเมืองพัทยาได้ดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างรายการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้านฯ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และได้ผู้ชนะการประกวดราคาแล้วแต่ยังสงวนสิทธิ์ในการลงนามในสัญญา
3. สำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างรายการการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้านฯ ในวงเงิน 127.50 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายในวงเงินงบประมาณและระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 มีนาคม 2563) แล้วดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ระยะเวลา |
เงินอุดหนุนของรัฐบาล (ร้อยละ 90) |
รวมเงิน งบประมาณ |
เงินรายได้ของเมืองพัทยา (ร้อยละ 10) |
รวม |
|
ปี พ.ศ. 2563 |
ปี พ.ศ. 2564 |
||||
2 ปี |
23.04 |
91.71 |
114.75 |
12.75 |
127.50 |
หมายเหตุ เมืองพัทยาได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แล้ว |
อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการที่มีผลให้เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการใช้งานจากการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน โครงสร้างหลักเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมทางขึ้น - ลงเรือ เป็นการติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำสำเร็จรูป จำนวน 3 แห่ง ซึ่งไม่สามารถรองรับเรือโดยสารและเรือขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่ได้ ส่งผลให้ประโยชน์การใช้งานและอายุงานลดลงในสาระสำคัญกระทบต่อวัตถุประสงค์ของรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ จึงเข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงรายการที่จะต้องนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยให้เมืองพัทยาปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับมติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงต่อรองราคาจนถึงที่สุดด้วย
8. เรื่อง คณะกรรมการการบินพลเรือนกำหนดนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศเกี่ยวกับการมอบหมายให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานในการให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศและบริการการเดินอากาศที่เกี่ยวเนื่องสำหรับการบินพลเรือนของประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศเกี่ยวกับการมอบหมายให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศและบริการการเดินอากาศที่เกี่ยวเนื่องสำหรับการบินพลเรือนของประเทศไทย รวม 3 ด้าน คือ (1) ด้านบริการการจัดการจราจรทางอากาศ (2) ด้านบริการระบบการสื่อสาร ระบบช่วยการเดินอากาศ และระบบติดตามอากาศยาน และ (3) ด้านบริการการออกแบบวิธีปฏิบัติการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน โดยให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำกับดูแลการให้บริการของ บวท. ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กบร. รายงานว่า
1. ปัจจุบัน บวท. เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมจราจรทางอากาศ การสื่อสารการบิน และการบริการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติการบิน ตามความต้องการของผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศ และมาตรฐานและข้อเสนอแนะขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ให้เป็นไปด้วยความปลอดภัยสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ ตามหนังสือสัญญาระหว่างกระทรวงคมนาคม (คค.) กับ บวท. ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2528 และได้ต่ออายุหนังสือสัญญาถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 ดังนั้น หนังสือสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะถาวรและต้องดำเนินการต่ออายุหนังสือสัญญาซึ่งภารกิจการให้บริการจราจรทางอากาศเป็นงานสำคัญในเรื่องความปลอดภัยในการเดินอากาศที่ต้องให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง รวมทั้งภายหลังปี 2545 หน้าที่และอำนาจของ คค. ได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภารกิจที่เกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุได้โอนย้ายไปอยู่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบกับ ICAO ได้วางมาตรฐานการกำกับดูแลในเรื่องบริการการจัดการจราจรทางอากาศเป็นเรื่องหนึ่งในผู้ให้บริการการเดินอากาศ ซึ่ง กพท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือน ได้วางหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการบริการการเดินอากาศไว้ในหมวด 1/2 ของพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 ซึ่งในอนาคตผู้ให้บริการการเดินอากาศจำเป็นต้องได้รับใบรับรองจาก กพท. และมีการกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ ICAO กำหนด คค. จึงเห็นว่า เนื้อความในหนังสือสัญญาดังกล่าวมีความล้าสมัยไม่ตรงตามบริบทในปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาแนวทางอื่นที่สามารถดำเนินการได้ เพื่อจะให้รัฐบาลมอบงานการให้บริการจราจรทางอากาศให้ บวท. เป็นการถาวร
2. จากแนวทางของต่างประเทศ หน่วยงานให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศจะถูกมอบหมายให้มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการให้บริการจัดการการจราจรทางอากาศ และจะต้องได้รับใบรับรองอันเป็นหลักฐานยืนยันมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการดำเนินงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานรัฐหรือบริษัทที่มีรัฐเป็นผู้จัดตั้ง โดยในปัจจุบัน บวท. ได้ยื่นคำขอรับใบรับรองบริการเดินอากาศ 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการจัดการจราจรทางอากาศ (2) ด้านระบบการสื่อสาร ระบบช่วยการเดินอากาศ และระบบติดตามอากาศยาน และ (3) ด้านการออกแบบวิธีปฏิบัติการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน ตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 ต่อ กพท. แล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของ กพท. ซึ่งการมอบหมายให้ บวท. เป็นหน่วยงานให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศสำหรับการบินพลเรือนของประเทศไทย จะทำให้กระบวนการกำกับดูแลมีความครบถ้วนตามแนวทางสากล
3. ด้วยนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 กำหนดให้จัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติในระดับปฏิบัติการ กบร. ในการประชุมครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 จึงมีมติให้จัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการห้วงอากาศ” เป็นหน่วยงานบริหารจัดการห้วงอากาศ โดยให้ผู้แทนจาก บวท. เป็นหัวหน้าศูนย์บริหารจัดการห้วงอากาศ
4. เพื่อให้ทิศทาง แนวทาง และนโยบายการประกอบกิจการจราจรทางอากาศของประเทศไทยมีความชัดเจนและมีเสถียรภาพ สอดคล้องกับนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติและแนวทางสากลในการให้บริการจราจรทางอากาศตามมาตรฐาน ICAO กบร. ในการประชุมครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 จึงมีมติกำหนดนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศเกี่ยวกับการมอบหมายให้ บวท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศและบริการการเดินอากาศที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ บริการระบบการสื่อสาร ระบบช่วยการเดินอากาศ และระบบติดตามอากาศยานและบริการการออกแบบวิธีปฏิบัติการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบินสำหรับการบินพลเรือนของประเทศไทย โดยให้ กพท. ดำเนินการกำกับดูแลการให้บริการของ บวท. ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
5. บวท. แจ้งว่า มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการเป็นหน่วยงานให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศและบริการการเดินอากาศที่เกี่ยวเนื่องสำหรับการบินพลเรือนประเทศไทย โดยดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของ กพท. และตามความต้องการของผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศและมาตรฐานและข้อเสนอแนะของ ICAO ให้เป็นไปด้วยความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
9. เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานาฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สศช. รายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบแนวทางการจัดทำแผนฯ สรุปได้ ดังนี้
1. จากการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 และเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 สศช. ได้ดำเนินการรวบรวมและตรวจสอบแผนระดับที่ 3 ในส่วนของแผนฯ ที่จัดทำโดยหน่วยงานของรัฐเฉพาะที่ปรากฏเป็นข้อมูลในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform: eMENSCR) และจากผลการพิจารณากลั่นกรองแผนฯ ของ สศช. รวมทั้งสิ้นจำนวน 174 ฉบับ มีข้อสังเกตที่สำคัญ ได้แก่
1.1 มีหลายแผนฯ ที่เป็นประเด็นการพัฒนาที่มีความทับซ้อนกัน
1.2 ที่ผ่านมามีหลายแผนฯ ที่จัดทำขึ้นโดยกลไกอื่น ๆ นอกเหนือจากการจัดทำโดยบทบัญญัติของกฎหมาย อาทิ มติคณะรัฐมนตรี มติคณะกรรมการระดับชาติ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
1.3 มีบางแผนฯ ที่ไม่มีกฎหมายกำหนดให้แผนฯ ใช้ชื่อเฉพาะซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 และวันที่ 3 ธันวาคม 2562 กำหนดให้แผนปฏิบัติการทุกแผน หากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดชื่อไว้อย่างชัดเจนต้องกำหนดชื่อแผนฯ ว่า “แผนปฏิบัติการด้าน... ระยะที่ ... (พ.ศ. ....-....)” ดังนั้น การใช้ชื่อแผนอื่นใด อาทิ แผนยุทธศาสตร์ แผนแม่บท ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
1.4 มีหลายแผนฯ ที่มีห้วงระยะเวลาการดำเนินการไม่สอดคล้องกับห้วงเวลาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดเป็น 4 ห้วง ห้วงละ 5 ปี
2. สศช. จึงขอเสนอแนวทางการจัดทำแผนฯ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกันดังนี้
2.1 หลักการการจัดทำแผนฯ
แผนระดับที่ 3 เป็นแผนในเชิงปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย (1) แผนฯ และ (2) แผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี และรายปี
(1) แผนฯ เป็นแผนการพัฒนาเชิงประเด็น (Issue Based) ที่ไม่ใช่การดำเนินการที่มีลักษณะเป็นภารกิจปกติ และมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า 1 กระทรวงหรือเทียบเท่า หรือหน่วยงานขึ้นตรงต่อ/ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี โดยต้องมีลักษณะเป็นแผนในเชิงปฏิบัติ (Action Plan) ซึ่งต้องมีองค์ประกอบและหลักเกณฑ์การจัดทำแผนฯ ตามที่ สศช. จะกำหนดต่อไป โดยพิจารณาถึงความจำเป็นของการต้องมีแผนฯ และมีแผนเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทั้งนี้ ต้องพิจารณาแผนฯ ที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับแผนที่จะจัดทำขึ้นร่วมด้วย เพื่อพิจารณาความจำเป็นของการจัดทำแผนฯ และ/หรือการควบรวมเป็นแผนฯ เดียวกัน และ/หรือการยกเลิกการจัดทำแผนฯ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้จัดทำแผนฯ
(2) ทุกหน่วยงานของรัฐต้องมีแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี และรายปี เพื่อเป็นแผนระดับที่ 3 หลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับที่ 2 นโยบายรัฐบาล รวมทั้ง แผนระดับที่ 3 ที่เกี่ยวข้อง ไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
2.2 แนวทางการเสนอแผนฯ ในกรณีต่าง ๆ
กรณี |
แนวทางการเสนอแผนฯ ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติครั้งที่ 3/2563 |
1. มีกฎหมาย กำหนดให้จัดทำและ เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาแผนฯ |
· ให้หน่วยงานดำเนินการจัดทำแผนฯ ตามกฎหมาย และเสนอ สศช. พิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนแนวทางการเสนอแผนระดับที่ 3 เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ก่อนการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ถือว่าพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สุดท้าย |
2. ไม่มีกฎหมาย กำหนดให้จัดทำแผนฯ |
· ให้หน่วยงานพิจารณาความจำเป็นของการจัดทำแผนฯ ซึ่งหากพบว่ายังมีความจำเป็นต้องจัดทำให้ดำเนินการดังนี้ (1) หน่วยงานประสงค์ที่จะจัดทำและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้หน่วยงานดำเนินการจัดทำแผนฯ และเสนอ สศช. พิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนแนวทางการเสนอแผนระดับที่ 3 เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐนตรี โดยให้ผลการพิจารณาของ สศช. ถือเป็นที่สิ้นสุด หรือ (2) หน่วยงานประสงค์ที่จะจัดทำและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบให้หน่วยงานจัดส่งแผนให้ สศช. ผ่านระบบ eMENSCR เพื่อ สศช. รวบรวมและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
3. การดำเนินการ จัดทำแผนผ่านกลไก ทางบริหาร |
· ให้หน่วยงานรักษาการกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการทบทวนความจำเป็นของการมีแผนฯ โดยการจัดทำแผนฯ จะต้องมีเหตุจำเป็น ซึ่งหากไม่มี แผนฯ จะก่อให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบวงกว้างต่อประเทศอย่างรุนแรง โดยแผนฯ ต้องเป็นประเด็นการพัฒนาที่สำคัญและส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งไม่ใช่การดำเนินการที่มีลักษณะเป็นภารกิจปกติ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการดังนี้ (1) กรณีแผนฯ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับชาติหรือผู้มีอำนาจในการอนุมัติแผนแล้ว ให้หน่วยงานดำเนินการนำเข้าแผนฯ ในระบบ eMENSCR ตามที่ สศช. กำหนด แล้วถือว่าเป็นการประกาศใช้แผนฯ โดยไม่จำเป็นต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา โดย สศช. จะได้รวบรวมและเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องเพื่อทราบโดยเป็นมติคณะรัฐมนตรี หรือ (2) กรณีที่หน่วยงานที่ดำเนินการจัดทำแผนฯ พิจารณาแล้ว หากจำเป็นต้องจัดทำและนำเสนอแผนฯ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ดำเนินการตามกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้จัดทำและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนก่อนการประกาศใช้ (กรณีที่ 1) หรือกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดให้จัดทำแผน แต่หน่วยงานประสงค์ที่จะจัดทำและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา [กรณีที่ 2 (1)] |
สำหรับการดำเนินการตามภารกิจปกติของหน่วยงาน ให้นำไปบรรจุในแผนปฏิบัติราชการของหน่วยงาน ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
2.3 สาระสำคัญของแผนฯ เห็นควรกำหนดให้มี
(1) เนื้อหาของแผน ให้มีสาระสำคัญของแผนอย่างน้อยตามองค์ประกอบและหลักเกณฑ์การจัดทำแผนฯ ที่ สศช. จะกำหนดต่อไป
(2) ระยะเวลาการดำเนินงานของแผนฯ ทุกแผนฯ สามารถมีกรอบระยะเวลาของ แผนฯ ที่เหมาะสมกับแต่ละประเด็นพัฒนาได้ แต่ต้องมีช่วงเวลาของการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ต้องมีผลผลิต ผลลัพธ์ ตลอดจนองค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนฯ ที่สอดคล้องกับห้วงเวลาของแผนแม่บทฯ ที่กำหนดเป็นห้วงละ 5 ปี ได้แก่ ปี 2566 – 2570 ปี 2571 – 2575 และ ปี 2576 - 2580 เพื่อให้การดำเนินการและการติดตามประเมินผลสามารถดำเนินการได้อย่างสอดคล้องกันอย่างเป็นรูปธรรม
(3) ชื่อของแผนฯ แผนปฏิบัติการทุกแผน หากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดชื่อไว้อย่างชัดเจน ต้องกำหนดชื่อแผนฯ ว่า “แผนปฎิบัติการด้าน... ระยะที่ ... (พ.ศ. ....-....)”
2.4 กระบวนการภายหลังจากที่แผนฯ ได้รับการประกาศใช้
กำหนดให้ทุกหน่วยงานนำทุกแผนฯ ที่ประกาศใช้แล้วเข้าระบบ eMENSCR ตามหลักเกณฑ์ที่ สศช. กำหนด ทั้งนี้ รวมไปถึงแผนปฏิบัติราชการราย 5 ปี และรายปี รวมทั้งรายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการรายปีด้วย รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงแผนฯ ให้สอดคล้องกับแผนระดับที่ 1 และ/หรือแผนระดับที่ 2 ในกรณีที่สถานการณ์ของโลกหรือสถานการณ์ของประเทศเปลี่ยนแปลงไป และจำเป็นต้องมีการปรับปรุงหรือทบทวนแผนระดับที่ 1 และ/หรือแผนระดับที่ 2
2.5 การขอยกเว้นการเสนอแผนฯ
กรณีหน่วยงานเสนอขอยกเว้นการเสนอแผนฯ ตามกระบวนการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560) ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งส่งแผนดังกล่าวให้ สศช. พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมต่อการยกเว้นดังกล่าวก่อนทุกครั้ง
10. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565)
2. เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และภาคเอกชนแปลงแนวทางตามแผนปฏิบัติการฯ สู่การปฏิบัติ โดยกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี และรายงานผลการดำเนินงานตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนด (สศช.) กำหนด
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า
1. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 64/2563 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 มีมติเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแปลงแนวทางการพัฒนาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) ผลักดันไปสู่การปฏิบัติและบริหารการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ที่กำหนดว่า “ประเทศไทยปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ” โดยได้รับผลการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) อยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 50 คะแนน ในปี 2565
2. แผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||
วัตถุประสงค์ |
เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแปลงแนวทางการพัฒนาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผลักดันไปสู่การปฏิบัติและบริหารการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||||||
แผนปฏิบัติการ/ เป้าหมาย/ตัวชี้วัด |
แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย 2 แผนย่อย คือ แผนย่อยการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนย่อยการปราบปรามการทุจริต โดยมีเป้าหมายและตัวชี้วัด ดังนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||
กลุ่มเป้าหมาย |
เด็ก เยาวชน ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||
แนวทาง การพัฒนา |
เช่น (1) ปลูกและปลุกจิตสำนึกการเป็นพลเมืองที่ดี มีวัฒนธรรม และการปลูกฝังและหล่อหลอมวัฒนธรรมในกลุ่มเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกช่วงวัย ทุกระดับ (2) ส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความใสสะอาดปราศจากพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต (3) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกระบวนการและกลไกการปราบปรามการทุจริต (4) พัฒนาการจัดการองค์ความรู้ด้านการปราบปรามการทุจริต |
|||||||||||||||||||||||||||||||
รูปแบบ การดำเนินการ |
พัฒนาเครื่องมือวัดเพื่อสำรวจ (1) พฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน และ (2) วัฒนธรรม ค่านิยม ทัศนคติและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริตของประชาชน รวมทั้งประเมินผลคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||
โครงการ/ งบประมาณ |
โครงการภายใต้แนวทางการพัฒนามีจำนวนทั้งสิ้น 971 โครงการ วงเงินรวม 10,248,313,500 บาท เช่น (1) โครงการพัฒนาบุคลากรสายงานป้องกันการทุจริต (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) (2) โครงการสัมมนาซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายปฏิบัติราชการ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) (3) โครงการพัฒนานวัตกรรมการป้องกันการทุจริตเชิงรุก (กระทรวงศึกษาธิการ) |
|||||||||||||||||||||||||||||||
ระยะเวลา ดำเนินการ |
พ.ศ. 2563 - 2565 |
3. สศช. ได้นำแผนปฏิบัติการฯ เสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว โดยในการประชุมครั้งที่ 10/2563 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม จำนวน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
ประเด็น |
ข้อเสนอแนะ |
การประเมินผล การดำเนินงาน ที่ผ่านมา |
เช่น ควรประเมินผลสำเร็จของการดำเนินการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประเทศไทยที่ผ่านมา โดยการเปรียบเทียบผลการดำเนินการและงบประมาณที่ใช้ในการต่อต้านการทุจริตในอดีตกับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย เพื่อใช้ประเมินผลความสำเร็จในการดำเนินงานและสามารถใช้เป็นข้อมูลเพื่อนำมาปรับปรุงในการจัดทำแผนและกำหนดแนวทางที่เหมาะสมให้เกิดประสิทธิภาพสามารถบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายได้ต่อไป |
การกำหนด ตัวชี้วัด |
เช่น ตัวชี้วัดด้านข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ถูกชี้มูลความผิด ควรพิจารณาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่มาจากการร้องเรียนของประชาชน เช่น ข้อมูลการร้องเรียนหรือร้องทุกข์ของประชาชนที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (สายด่วน 1111) ซึ่งสามารถจำแนกตำแหน่งที่ตั้งของผู้ร้องเรียนเพื่อทำฐานข้อมูลการร้องเรียนด้วยระบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและเปิดเผยได้ รวมทั้งกำหนดระดับความสำเร็จในการดำเนินการแก้ไขตามข้อร้องเรียนของประชาชนไว้ในตัวชี้วัดด้วย เพื่อให้เห็นประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน |
การตรวจสอบ ทรัพย์สิน |
เช่น ควรนำเทคโนโลยีการเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เก็บทะเบียนสินทรัพย์ต่าง ๆ (เช่น ที่ดิน บ้าน หุ้น รถยนต์ บัญชีเงินฝาก) รวมเข้ากับระบบของ ป.ป.ช. เพื่อให้การยื่นบัญชีทรัพย์สินเหลือเพียงการตรวจสอบทะเบียนที่รวบรวมได้กับการยื่นในส่วนที่ไม่มีหน่วยงานใดเป็นผู้เก็บทะเบียนของสินทรัพย์ เช่น เงินสด หรือทรัพย์สินที่เป็นของรูปพรรณต่าง ๆ ในขณะที่บัญชีทรัพย์สินในส่วนที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยระบบเทคโนโลยีนั้น ควรกำหนดให้สำนักงาน ป.ป.ช. สามารถขอรับข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลจากสถาบันการเงินหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องได้ |
ในการนี้ สศช. ได้แจ้งให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เสนอแผนปฏิบัติการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป
11. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2562 [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 เรื่องร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ที่ให้คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย (คณะกรรมการฯ) รายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี] ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการดังกล่าวและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนการพัฒนาตลาดทุนฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนฯ ประจำปี 2562
1.1 ความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนฯ (ประกอบด้วย 5 มาตรการหลัก 14 มาตรการย่อย และแผนงานสนับสนุน 46 โครงการ) ณ สิ้นไตรมาสที่ 4/2562 สรุปได้ดังนี้
1.1.1 แผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 24 แผนงาน เช่น (1) การจัดทำข้อกำหนดเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิงและการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสำหรับธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (2) การแก้เกณฑ์เพื่อรองรับการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (3) การขยายขอบเขตการให้บริการวางหลักทรัพย์เป็นหลักประกันข้ามตลาด (4) การปรับกติการองรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแทนคน (5) การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อใช้วิเคราะห์การลงทุนในตลาดทุน (6) การอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการนำเงินไปลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และ (7) การจัดให้มีกฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
1.1.2 แผนงานที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 10 แผนงาน เช่น (1) การผ่อนคลายกฎระเบียบในการทำธุรกรรมตลาดทุนเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ (2) การกำหนดให้ระบบซื้อขายทางเลือกเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง (3) การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 และ (4) การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้ไทยเป็นจุดเชื่อมโยงให้บริการด้านการเงินของภูมิภาค
1.1.3 แผนงานที่ล่าช้ากว่ากำหนด จำนวน 11 แผนงาน เช่น (1) การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) เข้าถึงแหล่งเงินทุน (2) การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ เช่น ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (3) การจัดตั้งระบบทะเบียนกลางด้านบำเหน็จบำนาญของประเทศ และ (4) การพัฒนาความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานของไทย
1.1.4 แผนงานที่ไม่เป็นไปตามแผน จำนวน 1 แผนงาน ได้แก่ การเปิดให้บุคคลที่ไม่ใช่ผู้ออกหลักทรัพย์สามารถนำหลักทรัพย์มายื่นขอจดทะเบียนเพื่อทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ลงทุนสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้โดยตรง หรือลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านการลงทุนตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้
1.2 การเพิ่มเติมและทบทวนแผนงานและตัวชี้วัดผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนฯ โดยที่แผนการพัฒนาตลาดทุนฯ ได้ดำเนินการมาครึ่งแผนแล้ว (ตั้งแต่ปี 2560) ประกอบกับตลาดทุนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากสภาวะเศรษฐกิจ เทคโนโลยีทางการเงิน ตลอดจนปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการทบทวนแผนงานให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปและนโยบายของรัฐบาล ดังนี้
1.2.1 เพิ่มเติมและทบทวนแผนงานภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนฯ จากเดิม 5 มาตรการ เป็น 7 มาตรการ ได้แก่ มาตรการหลักที่ 6 การพัฒนาตลาดทุนดิจิทัล และมาตรการที่ 7 การส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้มีมาตรการย่อยเพิ่มเติมจากเดิม 14 มาตรการ เป็น 17 มาตรการ และแผนงานสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากเดิม 46 แผนงาน เป็น 65 แผนงาน
1.2.2 เพิ่มเติมและทบทวนตัวชี้วัดผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนฯ โดยเพิ่มเติมตัวชี้วัดในระดับยุทธศาสตร์เป้าหมายจากเดิม 12 ตัวชี้วัด เป็น 15 ตัวชี้วัด ได้แก่ ด้านการเข้าถึง ด้านแข่งได้ และด้านยั่งยืน รวมทั้งทบทวนและปรับปรุงตัวชี้วัดเดิม 4 ตัวชี้วัด
2. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ระยะครึ่งแผน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ณ สิ้นปี 2562 ตามมติคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 เสร็จเรียบร้อยแล้ว สรุปได้ดังนี้
2.1 ตัวชี้วัดในระดับวิสัยทัศน์ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2564 แล้ว จำนวน 2 ตัวชี้วัด (จาก 5 ตัวชี้วัด) ได้แก่ ผลการจัดอันดับด้านการพัฒนาตลาดทุนของไทย ตามการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกปรับตัวดีขึ้น และมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์ เข้าและออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศอาเซียน ส่วนตัวชี้วัดอื่น ๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการ
2.2 ตัวชี้วัดในระดับยุทธศาสตร์ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2564 แล้ว จำนวน 4 ตัวชี้วัด (จาก 12 ตัวชี้วัด) ได้แก่ (1) มูลค่าระดมทุนของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าระดมทุนในหลักทรัพย์ของภาครัฐและภาคเอกชน (2) จำนวนบริษัทที่ออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ (3) การรักษาอันดับดัชนีชี้วัดความน่าสนใจของประเทศสำหรับธุรกิจเงินร่วมลงทุน และ (4) การจัดอันดับทักษะทางการเงินเบื้องต้นของประเทศไทยดีขึ้น ส่วนตัวชี้วัดอื่น ๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการ
12. เรื่อง รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐและความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 50 และมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 50 และมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2563 โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจริงในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (เดือนเมษายน-กันยายน 2563) ยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีดังนี้
หน่วย : ร้อยละ
กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามมาตรา 50 |
กรอบที่กำหนด |
สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง |
|
ณ 31 มีนาคม 2563 |
ณ 30 กันยายน 2563 |
||
(1) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) |
ไม่เกินร้อยละ 60 |
41.69 |
49.34 |
(2) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ |
ไม่เกินร้อยละ 35 |
28.26 |
25.38 |
(3) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด |
ไม่เกินร้อยละ 10 |
2.73 |
1.78 |
(4) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ |
ไม่เกินร้อยละ 5 |
0.18 |
0.01 |
2. สถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ประกอบด้วย
2.1 สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2563 มีจำนวน 7,848,155.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 49.34 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 41.10 เนื่องจากหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อนำไปพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสร้างขีดความสามารถของประเทศผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
2.2 สถานะหนี้เงินกู้คงค้าง ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2563 ของหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย
2.2.1 สถานะหนี้เงินกู้คงค้างของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2563 มีหนี้เงินกู้คงค้าง 1 บริษัท (จากทั้งหมด 2 บริษัท) ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จำนวน 94,733.34 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.03)
2.2.2 สถานะหนี้เงินกู้คงค้างของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงินที่ กค. ไม่ได้ค้ำประกัน ได้แก่ (1) รัฐวิสาหกิจทำธุรกิจให้กู้ยืม (2) รัฐวิสาหกิจทำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และ (3) รัฐวิสาหกิจทำธุรกิจประกันสินเชื่อ มีหนี้เงินกู้คงค้างรวมทั้งสิ้น 538,077.72 ล้านบาท
2.2.3 สถานะหนี้เงินกู้คงค้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 มีหนี้เงินกู้คงค้างจำนวน 38,069.47 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้เงินกู้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร
2.2.4 สถานะหนี้เงินกู้คงค้างของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 มีจำนวน 5,263,049 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินเพื่อดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.
2.3 การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการคลังที่เกิดจากหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 มีหนี้สาธารณะจำนวน 7,848,155.88 ล้านบาท สามารถจำแนกตามการเป็นภาระต่องบประมาณได้ ดังนี้ (1) หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง จำนวน 6,267,230.04 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79.86 ของหนี้สาธารณะทั้งหมด โดยเป็นหนี้เงินกู้ที่เป็นภาระตามกฎหมาย สัญญา มติคณะรัฐมนตรี หรือข้อตกลงที่รัฐบาลต้องชำระคืนเมื่อถึงกำหนด ทั้งนี้ หนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ที่รัฐบาลรับภาระเป็นสำคัญ และ (2) หนี้ที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง คือ หนี้ที่หน่วยงานเป็นผู้รับภาระการชำระหนี้หรือมีแหล่งรายได้อื่นที่ไม่ใช่งบประมาณมาชำระหนี้ จำนวน 1,580,925.84 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.14 ของหนี้สาธารณะทั้งหมด เช่น หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และหนี้รัฐวิสาหกิจและหนี้หน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ภาระหนี้ประกอบกับแผนการกู้เงินและการชำระหนี้ในอนาคตพบว่า อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดไว้
13. เรื่อง แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้งควบคู่กับการดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการดำเนินการเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD -19) โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยทหารในพื้นที่และภาคประชาสังคมในการดำเนินงานอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ชุมชน หมู่บ้าน อาสาสมัครต่าง ๆ และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งกำหนดให้ อปท. เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทั้งจากคน ยานพาหนะ ถนน และสิ่งแวดล้อม ให้เหลือน้อยที่สุดและเพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประขาชนให้ครอบคลุมทุกมิติโดยให้ความสำคัญในการดำเนินงานเชิงรุกและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เคร่งครัดและต่อเนื่อง ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกและความตระหนักด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชน ทั้งนี้ คณะกรรมการ ศปถ. ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 23 กรกฎคม 2563 และครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 เห็นชอบแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
ประเด็น |
การดำเนินงาน |
1. ชื่อในการรณรงค์ |
“ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” |
2. เป้าหมายการดำเนินการ |
เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลจากอุบัติเหตุตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 |
3. ตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน |
เช่น (1) จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ลดลงให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังและ (2) จำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุในระดับจังหวัดและอำเภอเสี่ยงที่เป็นสีแดงลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงเทศกาลปีใหม่ย้อนหลัง 3 ปี |
4. แนวทางการดำเนินการ |
ช่วงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ 1-21 ธันวาคม 2563 ช่วงการดำเนินงาน ได้แก่ (1) ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 22 - 28 ธันวาคม 2563 (2) ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 - 4 มกราคม 2564 (3) ช่วงหลังควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 5-11 มกราคม 2564 |
5. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 5 มาตรการ |
|
5.1 มาตรการด้านการบริหารจัดการ |
เช่น (1) ให้มีการจัดตั้งศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ระดับส่วนกลาง (ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ระดับจังหวัด กรุงเทพมหานคร (กทม.) อำเภอ และ อปท. เพื่ออำนวยการ ควบคุม กำกับดูแลและติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการช่วงเทศกาลปีใหม่ (2) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และ กทม. นำกรอบแผนบูรณาการฯ ไปจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อบูรณาการการดำเนินงานทุกภาคส่วนและกำหนดแนวทาง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 โดยให้นำแนวทางเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID - 19 มาดำเนินการ (3) ให้จังหวัด และ กทม. แต่งตั้งคณะทำงานบูรณาการการจัดตั้งจุดตรวจ จุดบริการ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางรูปแบบ และสถานที่ในการจัดตั้งจุดตรวจ และจุดบริการ (4) การลดปัจจัยเสี่ยง เช่น ใช้กลไกของท้องที่ควบคุมและดำเนินการมาตรการเชิงรุก “เคาะประตูบ้าน” เพื่อสอดส่อง ดูแล ป้องปราม และตักเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในพื้นที่ และการจัดตั้ง “ด่านชุมชน” (5) มาตรการองค์กรของหน่วยงานภาครัฐ เช่น ให้ทุกหน่วยงานรณรงค์ประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตนตามมาตรการองค์กรอย่างเข้มข้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 (6) ความปลอดภัยทางน้ำ โดยให้กระทรวงคมนาคม (คค.) บูรณาการทำงานร่วมกับจังหวัด กทม. อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่นจัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำประจำท่าเทียบเรือในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และตรวจสอบความปลอดภัยของเรือโดยสารและโป๊ะเทียบเรือ (7) ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว เช่น ให้จังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวและ กทม. พิจารณาหามาตรการ แนวทางการดูแลความปลอดภัยและการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นพิเศษตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยให้นำแนวทางเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID – 19 มาดำเนินการ |
5.2 มาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม |
- ด้านถนน เช่น (1) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ อปท. สำรวจ ตรวจสอบลักษณะกายภาพของถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีความปลอดภัยและ (2) ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ร่วมกับ คค. จัดทำแผนอำนวยความสะดวกการจราจร โดยจัดเตรียมช่องทางพิเศษ ทางเลี่ยง ทางลัดและจัดทำป้ายเตือน ป้ายแนะนำต่าง ๆ ให้ชัดเจน - ด้านสภาพแวดล้อม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ อปท. ตรวจสอบสิ่งอันตรายข้างทางและปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ - จุดตัดทางรถไฟ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมกับ อปท. กำหนดมาตรการแนวทางการแก้ไขปัญหาบริเวณจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัยในการสัญจร เช่น จัดทำป้าย เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน |
5.3 มาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ |
เช่น (1) ให้ คค. ร่วมกับจังหวัดกำกับ ควบคุม ดูแลรถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารไม่ประจำทาง พนักงานขับรถโดยสาร และพนักงานประจำรถให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายอย่างเคร่งครัด (2) ให้ คค. จังหวัด และ กทม. ขอความร่วมมือกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกหยุดประกอบกิจการหรือหลีกเลี่ยงการใช้รถบรรทุกในการประกอบกิจการในช่วงเทศกาลปีใหม่ และ (3) ให้ คค. และ ตช. เข้มงวดกับรถตู้ส่วนบุคคลหรือรถเช่าของผู้ประกอบการธุรกิจให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย |
5.4 มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย |
- การบังคับใช้กฎหมาย เช่น ให้ ตช. บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจังและต่อเนื่อง ดำเนินการตามมาตรการ “ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์” อย่างเข้มข้นภายใต้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และให้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กฎหมายสุรา และกฎหมายสถานบริการ - การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และ กทม. จัดทำแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่แนวทางความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนในชุมชน/หมู่บ้าน |
5.5 มาตรการด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ |
เช่น (1) จัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาลและหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบการติดต่อสื่อสาร การสั่งการ การประสานงาน และการแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในครือข่ายและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน และ (2) จัดเตรียมความพร้อมของหน่วยกู้ชีพและกู้ภัย |
14. เรื่อง เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 46 บัญญัติให้สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง บุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคและองค์กรของผู้บริโภคดังกล่าวมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ขึ้นเพื่อให้สิทธิแก่ประชาชนในการรวมตัวกันเป็นองค์กรของผู้บริโภค และเข้าร่วมกันจัดตั้งเป็นสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 โดยมีองค์กรต่าง ๆ ยื่นแจ้งสถานะความเป็นองค์กรของผู้บริโภคต่อนายทะเบียนกลางแล้ว 666 องค์กร และนายทะเบียนกลางได้ประกาศรายชื่อแล้วรวม 170 องค์กร (ข้อมูล ณ วันที่ 5 พฤศจิกยน 2563) ทั้งนี้ เมื่อนายทะเบียนกลางพิจารณาความถูกต้องครบถ้วนแล้วต้องดำเนินการประกาศการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคในราชกิจจานุเบกษา และทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่ที่ได้รับแจ้งหรือวันที่รวบรวมองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคครบถ้วน
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 กลุ่มตัวแทนองค์กรของผู้บริโภค จำนวน 151 องค์กรนำโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพร้อมคณะได้ยื่นเป็นผู้เริ่มก่อการพร้อมกับแจ้งหลักฐานการยินยอมเข้าร่วมขององค์กรของผู้บริโภคต่อผู้แทน สปน. ในการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคแล้วพบว่าเอกสารองค์กรของผู้บริโภค จำนวน 7 องค์กรยังมีข้อบกพร่อง ทำให้ยังไม่อาจเริ่มนับระยะเวลา 30 วัน เพื่อประกาศจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องครบถ้วน
3. เนื่องจากพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 มาตรา 19 บัญญัติให้รัฐบาลต้องจัดสรรเงินอุดหนุนไว้ที่ สปน. เป็นการจ่ายขาด เพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้นให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภคที่จัดตั้งขึ้นจำนวนไม่น้อยกว่า 350 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการดำเนิการให้เกิดการรวมตัวกันขององค์กรของผู้บริโภคอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ภายใน 60 วัน นับแต่วันประกาศจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค โดยให้การจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สภาอค์กรของผู้บริโภคให้เป็นไปตามระเบียบที่ สปน. กำหนด ซึ่ง สปน. ได้ดำเนินการยกร่างระเบียบสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนแก่สภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. .... ไว้เรียบร้อยแล้ว และได้มีการจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาร่างระเบียบฯ ดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ สปน. หารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้นให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค จำนวน 350 ล้านบาท ว่าจะต้องจัดสรรให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภคสภาแรกสภาเดียวหรือไม่ อย่างไร [เรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าว โดยมีผู้แทน สปน. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงบประมาณ และผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริง มีความเห็นว่า การจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้นให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภคตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 จะต้องพิจารณาจ่ายให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภคที่นายทะเบียนกลางได้มีการประกาศจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคตามมาตรา 9 วรรคสี่ เป็นครั้งแรกหลังจากวันที่พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พศ. 2562 ใช้บังคับเพียงสภาเดียวเท่านั้น]
4. ทั้งนี้ ในการขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นเงินอุดหนุนจ่ายขาดให้กับสภาองค์กรของผู้โภค เพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้น สปน. นั้น จะได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ต่อไป
5. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 สปน. แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารองค์กรของผู้บริโภคที่ยื่นเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคต่อนายทะเบียนกลางครบถ้วนแล้ว และนายทะเบียนกลางเห็นว่า เป็นไปตามเงื่อนไขเรื่องที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 สปน. จึงได้ส่งประกาศนายทะเบียนกลาง เรื่อง การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2563 มายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
15. เรื่อง รายงานผลการจัดตั้งศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอรายงานผลดำเนินการจัดตั้งศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) และมอบหมายให้ ดศ. โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สศด.) เป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศทางเทคโนโลยี 5G โดยประสานงานและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่องเดิม
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 ณ ทำเนียบรัฐบาล ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 133/2563 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่สำคัญในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทยในส่วนของการต่อยอด การใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G ภายหลังจากที่ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมได้มีการประมูลคลื่นความถี่ และมีการลงทุนขยายโครงข่ายในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานเทคโนโลยี 5G โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1) เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ 5G ของประเทศไทย ระยะที่ 1 2) เห็นชอบการดำเนินการโครงการนำร่องในการต่อยอดการใช้ประโยชน์ 5G ของประเทศไทยในระยะสั้น ด้านการส่งเสริมเกษตรดิจิทัล และการส่งเสริมโรงพยาบาลอัจฉริยะ และ 3) เห็นชอบมาตรการส่งเสริม และเพิ่มประสิทธิภาพการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสู่การปฏิบัติ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียมและเต็มประสิทธิภาพ
ผลการดำเนินการที่ผ่านมา
จากมติการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 ดังกล่าว ดศ. จึงได้เร่งเตรียมความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาระบบนิเวศของ 5G เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเต็มประสิทธิภาพ รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยี 5G เป็นหนึ่งในโครงสร้างดิจิทัลที่สำคัญ มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว มีความน่าเชื่อถือสูงและมีความล่าช้าต่ำมาก อีกทั้งสามารถรับส่งข้อมูลในขณะเคลื่อนที่ได้ดีขึ้นและสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์จำนวนมากพร้อมกันได้ ส่งผลให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดในปัจจุบัน ต่อยอดให้สามารถประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และ Big Data ตลอดจนเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคต รองรับการประยุกต์ใช้งานในบริการต่าง ๆ และสามารถประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างทั่วถึง อาทิ สื่อบันเทิง (Media and Entertainment) การผลิต (Manufacturing) สาธารณสุข (Healthcare) สาธารณูปโภค (Utility) การคมนาคมขนส่ง (Transportation and Logistics) รวมถึงระบบการจัดการเมือง โดยอุปกรณ์ IoT จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเป็นจำนวนมหาศาล จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อบนโครงข่ายการสื่อสารไร้สาย เพื่อรับส่งข้อมูล รวบรวม และวิเคราะห์ประมวลผล เพื่อการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยี 5G จึงเป็นเทคโนโลยีแห่งความหวังที่จะช่วยส่งเสริมให้บริการที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เอื้อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมการบริการใหม่ ๆ และส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตรวมถึงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากความสำคัญของเทคโนโลยี 5G ดังกล่าว ดศ. โดย สศด. จึงได้ร่วมกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) ณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (อาคารลาดพร้าวฮิลล์) ซึ่งเป็นพื้นที่กำกับดูแลเป็นการเฉพาะ (Regulatory Sandbox) เพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G (5G Testbed) สำหรับการเชื่อมต่อ (Connectivity) การใช้งานคลื่นความถี่ร่วมกัน (Spectrum Sharing) รวมทั้ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อการพัฒนานวัตกรรมบริการทางเทคโนโลยี 5G (5G Application and Services) สำหรับการคิดค้น ทดลอง ทดสอบและพัฒนานวัตกรรมใหม่ สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ตลอดจนสถาบันการศึกษามีพื้นที่ในการพัฒนาองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรและระบบนิเวศสำหรับเทคโนโลยี 5G (5G Network and Ecosystem) ทั้งในและต่างประเทศ เป็นการยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลให้กับบุคลากรในประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ผ่านกลไกการสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยี 5G เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทย ได้อย่างคุ้มค่าและสร้างสรรค์ โดยได้ทำพิธีเปิดศูนย์ฯ ไปเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในนามของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 22 กันยายน - 10 พฤศจิกายน 2563) ศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) มีผู้เข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงานรวมทั้งสิ้น 827 คน ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ 427 คน (52%) ภาคเอกชน 127 คน (15%) สถาบันการศึกษา 154 คน (19%) รัฐวิสาหกิจ 66 คน (8%) และสื่อมวลชน 53 คน (6%) ทำให้เกิดการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอด เรียนรู้การพัฒนา และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G เกิดการพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก คิดเป็นมูลค่า 475 ล้านบาท อันจะนำมาซึ่งระบบนิเวศ 5G เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย ให้สามารถนำเทคโนโลยี Cloud, AI, และ IoT มาประยุกต์ใช้เพื่อตอบสนองยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล พร้อมยกระดับทักษะดิจิทัลให้บุคลากรของไทยมีความพร้อมต่อยอดได้ในระดับสากล
ในการนี้ เพื่อให้เกิดการนำเทคโนโลยี 5G ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม ดศ. โดย สศด. จึงได้สนับสนุน และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัล (Digital Startup) วิจัย พัฒนา ทดลอง และทดสอบนวัตกรรมใหม่ โดยคาดว่าจะร่วมดำเนินการกับหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นต้น นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการหาแนวทางสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ทั้งทางด้านภาษี และมิใช่ภาษี (Tax / Non-Tax Incentive) รวมถึงมาตรการสนับสนุนทางการเงินต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยี 5G อาทิ แหล่งทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การเริ่มต้นธุรกิจ การขยายพื้นที่กำกับดูแลเป็นการเฉพาะ (Regulatory Sandbox) ให้เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในระดับภูมิภาคต่อไป
16. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
เรื่องเดิม
กระทรวงแรงงานได้จัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี เพื่อให้บริการด้านข้อมูลแรงงานในพื้นที่ การส่งเสริมการมีงานทำและคุ้มครองแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการตรวจลงตราและอนุญาตทำงานแก่ผู้บริหาร ช่างฝีมือ ผู้ชำนาญ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียม รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมในการวางแผนการผลิต การพัฒนากำลังแรงงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้รายงานผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รอบ 6 เดือน และ 12 เดือนต่อคณะรัฐมนตรีและมีมติรับทราบเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 และ 17 ธันวาคม 2562 ตามลำดับ
สาระสำคัญ
ผลการดำเนินงานปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีดังนี้
1. การให้บริการจัดหางาน มีจำนวน 3 กิจกรรม ได้แก่ (1) จัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) และอุตสาหกรรมดั้งเดิม เป้าหมาย 28,000 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 40,464 คน คิดเป็นร้อยละ 144.51 (2) แนะแนวอาชีพให้นักเรียน นักศึกษา เป้าหมาย 48,838 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 70,401 คน คิดเป็นร้อยละ 144.15 (3) ตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทำงาน เป้าหมาย 13,000 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 10,372 คน คิดเป็นร้อยละ 79.78
2. การพัฒนาฝีมือแรงงาน มีจำนวน 2 กิจกรรม ได้แก่ (1) ฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 10 อุตสาหกรรม เป้าหมาย 10,095 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 11,357 คน คิดเป็นร้อยละ 112.50 (2) ส่งเสริมสถานประกอบการยกระดับทักษะแรงงาน จำนวน 739,305 คน
3. ด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีจำนวน 3 กิจกรรม ได้แก่ (1) ตรวจแรงงานในระบบเป้าหมาย 1,305 แห่ง แรงงาน 55,800 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 1,353 แห่ง แรงงานจำนวน 107,506 คน คิดเป็นร้อยละ 103.68 และ 199.66 (2) ตรวจและกำกับสถานประกอบการตามมาตรฐานกฎหมายความปลอดภัย เป้าหมาย 870 แห่ง แรงงาน 61,700 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 871 แห่ง แรงงานจำนวน 174,820 คน คิดเป็นร้อยละ 100.11 และ 283.34 (3) สำรวจความต้องการแรงงาน (ผ่านแบบแสดงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานของสถานประกอบกิจการ คร.11) เป้าหมาย 10,224 แห่ง ผลการดำเนินงาน จำนวน 11,872 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 116.12
4. ด้านประกันสังคม มีจำนวน 4 กิจกรรม ได้แก่ (1) ให้คำปรึกษาแนะนำด้านสิทธิประโยชน์ประกันสังคมและกองทุนประกันสังคม เป้าหมาย 2,280,300 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 2,728,602 คน คิดเป็นร้อยละ 119.66 (2) ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เป้าหมาย 55,577 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 100,922 คน คิดเป็นร้อยละ 181.59 (3) ส่งเสริม e-Service และ e-Payment เป้าหมาย 21,664 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 28,879 คน คิดเป็นร้อยละ 133.30 (4) ตรวจสุขภาพประจำปีให้กับผู้ประกันตน เป้าหมาย 143,032 คน ผลการดำเนินงาน จำนวน 161,139 คน คิดเป็นร้อยละ 112.66
5. กิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ (1) การประชุมบูรณาการร่วมขับเคลื่อนศูนย์กับหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 88 ครั้ง และ (2) ประชาสัมพันธ์รูปแบบเอกสารให้กับประชาชนในพื้นที่ จำนวน 2,040 ฉบับ และรูปแบบอื่น ๆ เช่น วิทยุชุมชน แนะนำในสถาบันการศึกษา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รถบริการจัดหางานเคลื่อนที่ เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ (Facebook / YouTube) เป็นต้น จำนวน 537 ครั้ง (3) การจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 สถานประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกแจ้งตำแหน่งงานว่าง จำนวน 86,848 อัตรา มีผู้สมัครงาน จำนวน 13,351 คน และได้บรรจุงาน จำนวน 4,025 คน (ยอดสะสม ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563)
17. เรื่อง รายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้เสนอต่อรัฐสภาต่อไป
สาระสำคัญของรายงานฯ
1. รายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีเกณฑ์ในการจัดทำ ขอบเขตของรายงาน และข้อมูลที่ใช้ในการจัดทำ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลการรับและการจ่ายเงินของหน่วยงานของรัฐได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พศ. 2563 ได้แก่ รายได้แผ่นดินที่หน่วยงานของรัฐจัดเก็บและนำเงินส่งคลัง (รายได้จากภาษีอากร รายได้ค่าธรรมเนียม รายได้จากรัฐพาณิชย์) รายรับจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ รายจ่ายตามงบประมาณ (รายจ่ายของหน่วยงานและรายจ่าย งบกลาง) ข้อมูลรายจ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี และรายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ซึ่ง กค. ได้ประมวลข้อมูลดังกล่าวจากรายงานระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) และข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐบันทึกเข้ามาในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2563
2. สาระสำคัญของผลการดำเนินงานรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปี สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2563) สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการ |
ประมาณการ (1) |
รับจริง/ จ่ายจริง (2) |
เงินกันไว้ เบิกเหลื่อมปี (3) |
รวมรับจริง/ จ่ายจริง และเงินกันฯ (4) = (2) + (3) |
สูง (ต่ำ) กว่าประมาณการ (4) - (1) |
รายรับ (ก) |
3.200 |
3.008 |
- |
3.008 |
(0.192) |
1.1 รายได้ แผ่นดิน |
2.731 |
2.307 |
- |
2.307 |
(0.424) |
1.2 เงินกู้ เพื่อชดเชย การขาดดุลงบประมาณ |
0.469 |
0.701 |
- |
0.701 |
0.232 |
รายจ่าย (ข) |
3.200 |
2.944 |
0.197 |
3.141 |
(0.059) |
2.1 รายจ่ายงบประมาณ |
3.103 |
2.847 |
0.197 |
3.044 |
(0.059) |
2.2 รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ |
0.034 |
0.034 |
- |
0.034 |
- |
2.3 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง |
0.063 |
0.063 |
- |
0.063 |
- |
รายจ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี (ค) (งบประมาณปี 2555 - 2562) |
0.263 |
0.225 |
- |
0.225 |
(0.038) |
รายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง (ง) |
- |
- |
- |
- |
- |
รวมรายจ่ายทั้งสิ้น (จ)=(ข)+(ค)+(ง) |
3.463 |
3.169 |
0.197 |
3.366 |
(0.097) |
ดุลของงบประมาณประจำปี |
|||||
รายได้แผ่นดินสูง (ต่ำ) กว่ารายจ่ายตามงบประมาณ [1.1 – (ข)] รายรับสูง (ต่ำ) กว่า รายจ่ายตามงบประมาณ [(ก)-(ข)] |
(0.469) - |
(0.637) 0.064 |
(0.197) (0.197) |
(0.834) (0.133) |
(0.365) (0.133) |
ดุลการรับ – จ่ายเงิน รายรับสูง (ต่ำ) กว่า รายจ่าย ทั้งสิ้น (ก)–(จ) |
(0.263) |
(0.161) |
(0.197) |
(0.358) |
(0.095) |
หมายเหตุ
1. วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณแสดงเอกสารตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 469,000.00 ล้านบาท ซึ่งวงเงินกู้เพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 214,093.00 ล้านบาท ไม่ได้นำแสดงด้วย
2. รายรับจริงจากเงินกู้นั้นเป็นการรวมรายรับจากเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและรายรับจากเงินกู้เพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้
2.1 รายรับประเภทรายได้แผ่นดิน มีการประมาณการจัดเก็บรายได้ทั้งสิ้น 2.731 ล้านล้านบาท ซึ่งมีการจัดเก็บรายรับจริงเข้าเงินคงคลัง 2.307 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากรัฐพาณิชย์และรายได้อื่นสูงกว่าประมาณการ ทั้งนี้ รายรับที่มาจากรายได้แผ่นดินต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 0.424 ล้านล้านบาท สำหรับรายรับประเภทเงินกู้ที่ได้ประมาณการไว้ที่ 0.469 ล้านล้านบาท แต่มีการกู้เงินจริง 0.701 ล้านล้านบาท
2.2 รายจ่าย มีการประมาณการประเภทรายจ่ายงบประมาณไว้ 3.103 ล้านล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายจริงและกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี 3.044 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณ พ.ศ. 2563 ไม่มีรายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
2.3 ดุลของงบประมาณประจำปี เมื่อเปรียบเทียบรายได้แผ่นดินที่นำส่งคลังกับยอดรวมรายจ่ายประจำปี พบว่า รายได้แผ่นดินต่ำกว่ารายจ่ายตามงบประมาณ 0.637 ล้านล้านบาท (ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 0.365 ล้านล้านบาท)
2.4 ดุลการรับ - จ่ายเงิน เมื่อเปรียบเทียบประมาณการรายรับและประมาณการรายจ่ายทั้งสิ้นกับรายรับและรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นจริง ยอดรวมของรายจ่ายทั้งสิ้น (รายจ่ายตามงบประมาณและรายจ่ายจากเงินกันไว้เหลื่อมปี) คือ 3.366 ล้านล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 0.097 ล้านล้านบาท
18. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำบัญชี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2562 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอว่า โดยที่พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 มาตรา 31 บัญญัติให้กรมบัญชีกลางมีหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลเป็นประจำทุกปี โดยต้องประเมินในด้านการเงิน การปฏิบัติการ การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การบริหารจัดการทุนหมุนเวียน การปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหาร ผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงานและลูกจ้างและด้านอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด และมาตรา 33 บัญญัติให้กรมบัญชีกลางรวบรวมและจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียนทั้งหมดต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อทราบต่อไป ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงได้เสนอรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำบัญชี 2562 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของรายงานฯ
รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำบัญชี 2562 มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. สถานะทางการเงินของทุนหมุนเวียนในภาพรวม
1.1 สินทรัพย์และหนี้สินของทุนหมุนเวียน มีสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปีบัญชี 2562 จำนวนรวมทั้งสิ้น 4,282,571.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี 2561 จำนวน 187,161.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.57
1.2 รายได้และค่าใช้จ่ายของทุนหมุนเวียน ทุนหมุนเวียนมีรายได้ในภาพรวมเท่ากับ 630,587.14 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในภาพรวมเท่ากับ 526,088.31 ล้านบาท ส่งผลให้ทุนหมุนเวียนมีรายได้สุทธิ (รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย) เท่ากับ 104,498.82 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.57 ของรายได้รวมทั้งหมด
1.3 การนำทุนและผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
1.3.1 ทุนหมุนเวียน จำนวน 19 ทุน นำทุนและผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ประจำปีบัญชี 2561 รวมทั้งสิ้น 18,759.74 ล้านบาท
1.3.2 ทุนหมุนเวียน จำนวน 10 ทุน อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นำทุนและผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2562 รวมทั้งสิ้น 1,950.11 ล้านบาท
1.3.3 ทุนหมุนเวียน จำนวน 6 ทุน อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นำทุนและผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ประจำปีบัญชี 2563 รวมทั้งสิ้น 1,162.74 ล้านบาท
2. ผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน
ในปีบัญชี 2562 มีทุนหมุนเวียนทั้งสิ้น 115 ทุน โดยมีทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบการประเมินผลการดำเนินงานของกรมบัญชีกลาง จำนวน 97 ทุน และไม่เข้าสู่ระบบการประเมินผลการดำเนินงานของกรมบัญชีกลาง จำนวน 18 ทุน ดังนี้
2.1 ทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบการประเมินผลการดำเนินงานของกรมบัญชีกลาง จำนวน 97 ทุน มีคะแนนผลการประเมินเฉลี่ยในภาพรวม เท่ากับ 3.9083 คะแนน (คะแนนเต็ม 5.0000 คะแนน) เพิ่มขึ้น 0.0696 คะแนน เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานในปีบัญชี 2561 โดยมีทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินผล จำนวน 45 ทุน และทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินผล หรือมีคะแนนผลการประเมินบางด้านต่ำกว่า 3.0000 คะแนน จำนวน 52 ทุน
2.2 ทุนหมุนเวียนที่ไม่เข้าสู่ระบบการประเมินผลการดำเนินงานของกรมบัญชีกลาง จำนวน 18 ทุน ประกอบด้วย
2.2.1 ทุนหมุนเวียนที่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการประเมินผลและจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน 9 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กองทุนเพื่อการพัฒนาและเผยแพร่ประชาธิปไตย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนพัฒนาไฟฟ้า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
2.2.2 ทุนหมุนเวียนที่มีสถานะไม่พร้อมประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน 9 ทุน ได้แก่ ทุนหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างดำเนินการยุบเลิก จำนวน 3 ทุน ได้แก่ เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน กองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ทุนหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างการรวม จำนวน 1 ทุน คือ กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัด ทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นใหม่และอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม จำนวน 4 ทุน ได้แก่ กองทุนเพื่อการพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และทุนหมุนเวียนที่ยังไม่มีการดำเนินงานตามภารกิจและวัตถุประสงค์การจัดตั้ง จำนวน 1 ทุน คือ กองทุนเพื่อพัฒนาการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ
3. บทบาทของทุนหมุนเวียนที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ทุนหมุนเวียนถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน บนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) ซึ่งในปีบัญชี 2562 ทุนหมุนเวียนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาและสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐในด้านต่าง ๆ เช่น การปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมืองโดยมุ่งประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตน สนับสนุนและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศในการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
4. ปัญหาอุปสรรคการดำเนินงานของกองทุนหมุนเวียน
4.1 คณะกรรมการและผู้บริหารทุนหมุนเวียนบางทุนยังไม่ตระหนักและให้ความสำคัญในการกำกับติดตามผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนสม่ำเสมอ รวมทั้งไม่สามารถผลักดันให้ผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนเป็นไปตามเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ในแผนการดำเนินงานได้
4.2 สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับขาดการทบทวนบทบาทและภารกิจของทุนหมุนเวียนให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบันทำให้ทุนหมุนเวียนบางทุนประสบปัญหาไม่สามารถดำเนินการตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดได้
4.3 แผนการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนบางทุนยังขาดความสมบูรณ์ในรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาดการกำหนดแนวทางการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบจากการดำเนินงานที่ชัดเจน ส่งผลให้ไม่สามารถประเมินความคุ้มค่าและประสิทธิผลจากการดำเนินโครงการได้
5. ข้อสังเกตการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2562 ของคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน
5.1 ควรมีการทบทวนวิสัยทัศน์ ให้สอดคล้องกับพันธกิจและวัตถุประสงค์จัดตั้ง และให้สอดคล้องกับความต้องการความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อรองรับและให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจและวัตถุประสงค์จัดตั้งโดยควรมีแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการดำเนินงานที่ตอบสนองตามพันธกิจและวัตถุประสงค์จัดตั้ง
5.2 ควรมีแนวทางในการสอบทานผลประเมินของตัวชี้วัดเพิ่มเติม เช่น วิธีสุ่มตรวจสอบโดยตรงกับผู้ที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์หรือผลผลิตที่ได้เป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ตามวัตถุประสงค์ในการขอรับการสนับสนุนส่งเสริม
5.3 ควรทบทวนจำนวนและคุณลักษณะของทุนหมุนเวียนที่มีโครงสร้างคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนที่มีจำนวนคณะกรรมการฯ มากเกินไปซึ่งส่งผลต่อความไม่คล่องตัวในการดำเนินงานเพื่อให้โครงสร้างคณะกรรมการฯ มีความสอดคล้องกับพันธกิจและวัตถุประสงค์จัดตั้งของทุนหมุนเวียน
5.4 กรมบัญชีกลางควรทบทวนทุนหมุนเวียนที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันหรือสามารถดำเนินการร่วมกันได้เพื่อให้มีการควบรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะทุนหมุนเวียนที่อยู่ในกลุ่มเกี่ยวกับด้านการเกษตร เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน
5.5 ควรเริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน เช่น การสำรวจต่าง ๆ สามารถใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่องทางออนไลน์ ทดแทนการสำรวจด้วยการกรอกแบบสำรวจเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ลดต้นทุนและมีระบบฐานข้อมูลที่เป็นระบบ เป็นต้น
5.6 ควรแสดงความเชื่อมโยงระหว่างประสิทธิผลของกระบวนการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียนกับผลลัพธ์ในการดำเนินงานของตัวชี้วัดด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น
5.7 ควรมีการเทียบเคียง/เปรียบเทียบ (Benchmark) ผลการดำเนินงานกับหน่วยงานอื่นหรือการเทียบเคียงระหว่างหน่วยงาน
19. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน
คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการฯ ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า
1. ปัญหาการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถานเป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่า มีการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร กรณีดังกล่าวเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเรือนจำและ ทัณฑสถานกระทำการทุจริตเป็นสำคัญ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐรู้เห็นเป็นใจและรับผลประโยชน์จากกลุ่มผู้ต้องขังหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่ด้วยกัน หรือเกิดความเกรงใจไม่กล้าตรวจค้นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่สูงกว่า ซึ่งที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการป้องกันการซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน เช่น การให้ผู้บังคับบัญชาสอดส่องการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา การตรวจค้นผู้ที่เกี่ยวข้อง และการจู่โจมตรวจค้นเรือนจำและทัณฑสถาน แต่ก็ยังปรากฏข้อเท็จจริงในการลักลอบซื้อยาเสพติดภายในเรือนจำและทัณฑสถานมาโดยตลอด
2. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 96/2563 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน และให้นำเสนอคณะรัฐมาตรีพิจารณาตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 รวม 4 กรณี สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
มาตรการฯ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. |
1. กรณีผู้ต้องขังภายในเรือนจำที่เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเงินสามารถติดต่อสั่งการค้ายาเสพติดได้อย่างอิสระกับเครือข่ายภายนอกเรือนจำ |
- ให้เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศห้ามเจ้าหน้าที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ในเรือนจำและทัณฑสถาน - ให้มีกระบวนการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับผู้ให้บริการเครือข่ายในการตรวจจับสัญญาณการโทรออกเป็นรายวัน โดยส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและรายงานให้กรมราชทัณฑ์ทราบเพื่อจะลงโทษผู้บัญชาการเรือนจำ และขยายผลการปราบปราม - ให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้รับอนุญาตด้านโทรคมนาคมที่ต้องดูแลด้านความมั่นคงของรัฐ เมื่อได้รับการร้องขอ ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของผู้รับใบอนุญาตที่ต้องดำเนินการในทุก ๆ ด้าน หากไม่สามารถทำได้อาจจะถูกพิจารณาเปลี่ยนแปลงใบอนุญาตหรือยกเลิกใบอนุญาต |
2. กรณีการตรวจพบยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน |
- ให้กรมราชทัณฑ์เปิดเผยผลการตรวจจับยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายในเรือนจำและทัณฑสถานให้สาธารณชนได้รับทราบ โดยเปิดเผยผลการดำเนินการเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบซื้อขายยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายในเรือนจำและทัณฑสถานด้วย |
3. กรณีผู้ต้องขังให้สินบนกับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ทำให้เกิดการซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน |
- ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาประกาศกำหนดตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่เรือนจำที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. - ให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) โดยกรมราชทัณฑ์จัดทำแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินคดีอาญาและการลงโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิดต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง |
4. กรณีผู้ต้องขังในเรือนจำที่เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเงินสามารถสั่งการให้เครือข่ายค้ายาเสพติดข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ |
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ป.ป.ง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) จัดให้มีชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมมือทำงานเป็นการถาวร สังเกตการณ์ควบคุมดูแลผู้ต้องขังคดียาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกคุมตัวในเรือนจำความมั่นคงสูงสุด เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งรัฐบาลจะต้องสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กรมราชทัณฑ์เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ และให้รัฐบาลมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแล - เนื่องจากบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจถูกบีบบังคับจากผู้มีอิทธิพล และเมื่อร้องเรียนตามกระบวนการแต่ไม่มีผลการดำเนินการที่จะคุ้มครองเจ้าหน้าที่ได้ ทั้งนี้ ให้เจ้าหน้าที่ร้องเรียนต่อชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป |
20. เรื่อง รายงานผลการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมรับรายงานผลการหารือฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนโดยด่วน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญ
1. กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น นำโดย นายรุ่งเรือง ระหมันยะ นางจันทิมา ชัยบุตรดี และนายประยงค์ ดอกลำใย ได้เดินทางมาชุมนุมเรียกร้องขอให้ยกเลิกโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ระหว่างวันที่ 10 - 14 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพระราม 5 (ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล) และมีแถลงการณ์ เรื่อง ยกเลิกโครงการอุตสาหกรรมจะนะ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2563 ดังนี้
1.1 รัฐบาลต้องยุติการดำเนินโครงการ “จะนะเมืองต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ทั้งหมด รวมถึงการแก้ไขผังเมืองและการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ในทันที
1.2 เมื่อยุติการดำเนินโครงการแล้ว ขอให้รัฐบาลจัดให้มีการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) อย่างรอบคอบ เพื่อสร้างชุดข้อมูลทางวิชาการที่มีคุณภาพประกอบการตัดสินใจต่อแนวทางและโครงการพัฒนาในพื้นที่ต่าง ๆ ของภาคใต้ต่อไป
2. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายประสาน หวังรัตนปราณี) พร้อมด้วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้พบปะและเจรจาหาข้อยุติร่วมกับกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยมีบันทึกข้อตกลงผลการเจรจา ดังนี้
2.1 รัฐบาลต้องมีมติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ทุกฉบับ รวมทั้งยุติการดำเนินโครงการจะนะเมืองต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคตทั้งหมด ทั้งการแก้ไขผังเมือง และการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กระบวนการศึกษาประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในทันที
1) คณะกรรมการผังเมือง และกรมโยธาธิการและผังเมืองต้องยกเลิกกระบวนการแก้ไขผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา พ.ศ. 2559 โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562
2) หน่วยงานรัฐและเอกชนเจ้าของโครงการภายใต้โครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ต้องไม่ดำเนินกระบวนการใด ๆ ที่เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นศึกษารายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กระบวนการศึกษาประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) หรือการดำเนินการอื่นใด จนกว่ากระบวนการตามข้อ 2.2 จะแล้วเสร็จ
2.2 รัฐบาลต้องจัดให้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (SEA) จังหวัดสงขลา โดยมีหลักการประเมิน คือ ประเมินบนฐานทรัพยากรของพื้นที่ศักยภาพของระบบนิเวศ การประเมินจะต้องยืดถือหลักการว่าจะพัฒนาพื้นที่สงขลาบนฐานศักยภาพของทรัพยากรอย่างไร การประเมินยุทธศาสตร์เพื่อออกแบบการพัฒนาต้องคำนึงถึงการเติบโตของคนท้องถิ่นเป็นหลัก ส่วนกลุ่มทุนภายนอกเป็นปัจจัยเสริมเพื่อเข้ามาต่อยอดศักยภาพของพื้นที่ และการประเมินเชิงยุทธศาสตร์ให้ยึดหลักการกระจายรายได้ของประชาชน ความเป็นธรรมของคนและระบบนิเวศ มีการเติบโตอย่างยั่งยืน อันเป็นการสร้างชุดข้อมูลทางวิชาการที่มีคุณภาพประกอบการตัดสินใจทางเลือกการพัฒนาจังหวัดสงขลาที่เหมาะสม โดยกระบวนการจะต้องดำเนินการ ดังนี้
1) แต่งตั้งคณะทำงานซึ่งมีสัดส่วนของภาคประชาชน และนักวิชาการที่ภาคประชาชนเสนอในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อวางกรอบการศึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ร่วมกัน โดยกระบวนการทำงานให้ดำเนินการประเมินศักยภาพทรัพยากรและพัฒนาต่อยอดจากทรัพยากรของท้องถิ่น และในการศึกษานี้ต้องไม่มีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้มีส่วนในการดำเนินการจัดทำ
2) การคัดเลือกผู้ที่จะมาดำเนินการศึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย และให้เป็นไปตามหลักการตามข้อ 2.2
3) ในกระบวนการศึกษา คณะอนุกรรมการกำกับติดตามและแก้ไขปัญหาโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ต้องมีการระบุหน้าที่ในการกำกับติดตาม โดยมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลการศึกษา ตรวจสอบ และให้ข้อเสนอแนะต่อผู้ดำเนินการศึกษาได้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการข้อ 2.2
4) กระบวนการตรวจสอบและการให้ความเห็นชอบต่อรายงานการศึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ต้องมีกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและนักวิชาการที่ประชาชนคัดเลือกด้วย โดยให้เป็นไปตามหลักการข้อ 2.2
ต่างประเทศ
21. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ กห. จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
3. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ กห. พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้
1. วัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีอยู่ผ่านความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ และเพื่อส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างกันบนพื้นฐานของความเป็นเอกราช ความเท่าเทียม อำนาจอธิปไตย บูรณาภาพเหนือดินแดน ผลประโยชน์ร่วมกันและการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศของแต่ละฝ่าย
2. ขอบเขตความร่วมมือ เช่น (1) แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (2) นโยบายด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ (3) การจัดการประชุมฝ่ายเสนาธิการระดับอาวุโสระหว่างกองทัพไทยและกองทัพปากีสถานประจำปี โดยภาคีแต่ละฝ่ายสลับกันเป็นเจ้าภาพ (4) การแลกเปลี่ยนข่าวสารและข่าวกรองทางทหาร (5) การฝึกร่วมทางทหาร รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบและการต่อต้านการก่อการร้าย เป็นต้น
3. วิธีการดำเนินความร่วมมือ เช่น การแลกเปลี่ยนการเยือน/ประสบการณ์ทางทหาร การเข้าร่วมหลักสูตรทางทหาร และการประชุม เป็นต้น
4. คณะกรรมการขับเคลื่อน กิจกรรมภายใต้บริบทของบันทึกความเข้าใจฯ หรือกิจกรรมความร่วมมือใด ๆ ที่ดำเนินการภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจฯ หรือภายใต้ข้อตกลงส่วนเสริมใด ๆ จะอยู่ในการดูแลของคณะกรรมการขับเคลื่อน ซึ่งจะจัดประชุมปีละ 1 ครั้ง หรือตามที่ตกลงร่วมกันระหว่างคู่ภาคี
5. การให้ความคุ้มครองข่าวสารที่มีชั้นความลับ คู่ภาคีจะคุ้มครองข่าวสารที่มีชั้นความลับที่อาจเข้าถึงได้ภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ โดยสอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับของประเทศตนเอง และข่าวสารที่มีชั้นความลับสูงจะถูกส่งมอบผ่านช่องทางที่เป็นทางการหรือช่องทางอื่น ๆ ที่ได้ตกลงกันระหว่างคู่ภาคีเท่านั้น [ชั้นความลับ ได้แก่ ลับที่สุด ลับมาก ลับ และ UNCLASSIFIED (ฝ่ายไทยอาจกำหนดระดับชั้นความลับที่สอดคล้องกับข่าวสารที่ถูกกำหนดชั้นความลับนี้)]
6. ค่าใช้จ่าย แต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของกำลังพลของตนในการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจฯ และในส่วนของโครงการฝึกอบรม หลักสูตรการศึกษาและการฝึกร่วม คู่ภาคีจะตัดสินใจร่วมกันถึงภาระค่าใช้จ่ายก่อนที่จะเริ่มดำเนินการ
7. สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา คู่ภาคีจะให้ความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของภาคีแต่ละฝ่ายโดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งกฎหมายและระเบียบข้อบังคับภายในของตนเอง การดำเนินการเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจะถูกควบคุมโดยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับดังกล่าว
8. การระงับข้อพิพาท ข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับการตีความ การใช้หรือการนำไปปฏิบัติของบันทึกความเข้าใจฯ จะถูกระงับอย่างฉันมิตร โดยการหารือและเจรจาร่วมกันระหว่างผู้แทนของคู่ภาคี และหากมีความจำเป็นผ่านช่องทางการทูต ปัญหา ข้อแตกต่างและข้อพิพาทใด ๆ จะไม่ถูกนำไปดำเนินการทางศาล ทั้งศาลภายใน ศาลระหว่างประเทศ ศาลยุติธรรม ศาลพิเศษหรือบุคคลที่สาม เพื่อระงับข้อพิพาทเหล่านั้น
9. การมีผลบังคับใช้ ระยะเวลา และการสิ้นสุด จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ลงนามเป็นระยะเวลา 5 ปี และต่ออายุโดยอัตโนมัติไปอีก 5 ปี ยกเว้นคู่ภาคีตกลงใจที่จะไม่ต่ออายุการมีผลบังคับใช้เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาของการมีผลบังคับใช้ และแต่ละฝ่ายอาจยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ในเวลาใดก็ได้ โดยการแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรและจะมีผลภายหลังจากได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร 6 เดือน ทั้งนี้ การสิ้นสุดของบันทึกความเข้าใจฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการ/กิจกรรมที่ดำเนินการอยู่ เว้นแต่จะตกลงร่วมกันเป็นอย่างอื่น
การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ จะเป็นการขยายความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศให้มีความครอบคลุมในหลากหลายมิติ และส่งผลดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างทั้งสองประเทศให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น การเสริมสร้างความร่วมมืออันดีกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานยังเป็นโอกาสในการชี้แจงและอธิบายถึงบทบาทของกองทัพในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอาจขยายผลไปยังประเทศมุสลิมอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานได้
22. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14 ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สรุปสาระสำคัญ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. ภาพรวม แนวคิดหลักของการประชุมดังกล่าว คือ การสร้างความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ยั่งยืน ทั่วถึง และสมดุล จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกรวม 43 ประเทศ และผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมดังกล่าว
2. ที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
2.1 ผลการประชุมจากการระบาดของโควิด-19 ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกไปแล้วมากว่า 1 ล้านคน และส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ การประกอบธุรกิจ การลงทุน การค้า และวิถีการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้แทนจากธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้นำเสนอภาพรวมการรับมือกับโควิด-19 ของประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีการใช้นโยบายการเงินและการคลังเป็นมาตรการพื้นฐาน และมีข้อเสนอแนะเพื่อการฟื้นตัวในระยะยาว เช่น การนำระบบดิจิทัลมาปรับใช้ การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว และการให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
2.2 ประสบการณ์ในการรับมือและใช้มาตรการต่าง ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประเทศสมาชิกได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือและการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ โควิด-19 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอมาตรการที่รัฐบาลไทยใช้ในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาต่อที่ประชุม สรุปได้ ดังนี้
2.2.1 การจัดตั้งศูนย์กลางในการบริหารจัดการด้านนโยบาย ได้แก่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2.2.2 มาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เช่น การให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน การขยายระยะเวลาชำระหนี้ของธนาคารพาณิชย์แก่บริษัทและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยรัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการอย่างระมัดระวังภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง
2.2.3 การรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศในระยะยาว เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างการเชื่อมโยงภายในประเทศและระหว่างประเทศ การพัฒนาการใช้ระบบดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเงินให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ใช้งานในแต่ละกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี รวมทั้งจะได้มีการพิจารณามาตรการระยะยาวเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทางสังคม เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการ
ทั้งนี้ จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แสดงให้เห็นว่าประเทศสมาชิกให้ความสำคัญกับการบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจและสังคม การควบคุมและป้องกันการระบาดที่ยั่งยืน และการประคับประคอบผู้ประกอบการและธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังเชื่อมั่นในการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งและความเข้าใจอันดีระหว่างกันของ 2 ภูมิภาค
2.3 ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับ การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และบทบาทของประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับต่างประเทศ รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความสามารถในการรับมือกับโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นภายหลังโควิด-19
2.4 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในปี 2565 โดยมีประเทศจากยุโรปเป็นเจ้าภาพการประชุม
23. เรื่อง รายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) ที่ไทยได้ร่วมลงนามความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Bilateral Cooperation on the Joint Crediting Mechanism for the Low Carbon Growth Partnership between the Kingdom of Thailand and Japan) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ โดยมีผลความก้าวหน้าการดำเนินการ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2563 (ครั้งที่ 5) สรุปสาระสำคัญ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. การสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงการต้นแบบ กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการต้นแบบ JCM จำนวน 33 โครงการ มูลค่ามากกว่า 2 พันล้านบาท และก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งผู้รับทุนเป็นบริษัทเอกชนไทย จำนวน 28 บริษัท โดยโครงการที่ได้รับคัดเลือกเป็นโครงการประเภทการผลิตพลังงานหมุนเวียน จำนวน 14 โครงการ และโครงการประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 19 โครงการ
2. สถานภาพการดำเนินโครงการ โครงการต้นแบบ JCM ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นจะเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ JCM ก็ต่อเมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนจากคณะกรรมการร่วม JCM โดยเอกสารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจะรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้ของโครงการ มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ส่วนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่โครงการสามารถลดได้จริงจากการดำเนินงานที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งคณะกรรมการร่วม JCM เป็นผู้ให้การรับรองคาร์บอนเครดิตและสัดส่วนคาร์บอนเครดิตที่จะแบ่งปันกันระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น ปัจจุบันโครงการต้นแบบ JCM จำนวน 33 โครงการ ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน 8 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะได้ลดเท่ากับ 49,859 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว จำนวน 5 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองเท่ากับ 4,032 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
24. เรื่อง ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 และมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานร่วมเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 โดยมีสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ปฏิญญาเวียงจันทน์ของการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 มีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากร่างปฏิญญาที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 อย่างไรก็ตาม มีการประเด็น ได้แก่
1.1 การยกระดับความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ เช่น การแสดงความยินดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านน้ำตลอดทั้งปี การเร่งรัดการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ และการส่งเสริมความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลน้ำระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างกับคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
1.2 การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เช่น การแสดงความชื่นชมที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศจัดตั้งกองทุนพิเศษด้านสาธารณสุขเพื่อสนับสนุนโครงการความร่วมมือด้านสาธารณสุข การส่งเสริมให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นประโยชน์สาธารณะที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และการสนับสนุนการทำงานขององค์การอนามัยโลก
1.3 การเพิ่มสาขาความร่วมมือด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ ได้แก่ โรคระบาด การฟอกเงินอาชญากรรมทางไซเบอร์ ภัยพิบัติ และปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
1.4 การเสริมสร้างความยั่งยืนแก่ห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการจัดตั้งช่องทางขนส่งสินค้าพิเศษ
2. ถ้อยแถลงของประธานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างกับระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศแห่งใหม่ เป็นเอกสารที่ปรับมาจากร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 แต่เนื่องจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามไม่พร้อมให้การรับรองสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้ปรับรูปแบบเอกสารเป็นถ้อยแถลงของประธานร่วมแทน อย่างไรก็ดีมีการเพิ่มข้อเสนอของไทยในการมอบหมายให้ศูนย์ระดับโลกเพื่อการศึกษาแม่น้ำโขงศึกษาผลกระทบและประโยชน์ต่อประเทศสมาชิก และเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีต่อไป
3. สาระสำคัญของถ้อยแถลงของผู้นำประเทศต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
1) สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ความสำคัญกับ (1) การบริหารจัดการน้ำ โดยแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านน้ำกับประเทศสมาชิกและเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ (2) การพัฒนาเศรษฐกิจ สนับสนุนการเพิ่มศักยภาพในการผลิตและขยายความร่วมมือด้านนวัตกรรมการเกษตร และความมั่นคงด้านอาหาร (3) ความมั่นคงด้านสาธารณสุข หากสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกเป็นลำดับแรก (4) ความเชื่อมโยง สนับสนุนการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างและกรอบความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ และเตรียมการจัดตั้งช่องทางพิเศษเพื่อขนส่งสินค้าและอำนวยความสะดวกในการเดินทางที่จำเป็นในภาวะวิกฤต
2) ประเทศไทย เน้นย้ำสาขาความร่วมมือที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ ได้แก่ (1) การบริหารจัดการน้ำ เสนอให้มีการติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ (2) ความมั่นคงด้านสาธารณสุข เห็นพ้องกับประเทศสมาชิกกรณีให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นประโยชน์สาธารณะที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (3) ความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สนับสนุนให้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและมีภูมิคุ้มกัน
3) ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวขอบคุณสาธารณประชาชนจีนที่ให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ในการรับมือกับโรคโควิด-19 และยินดีต่อความคืบหน้าของการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง พร้อมย้ำให้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างทำงานสอดประสานกับกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาคอื่น ๆ และมีประเด็นที่ให้ความสำคัญเพิ่มเติม เช่น การศึกษาแนวคิดการสร้างระเบียงพัฒนาพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง การส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก การผลักดันความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ และการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด-19
4. กต. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้มีการนำผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนภายใต้กลไกความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ นำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
25. เรื่อง ผลการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การรับมือความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และพิจารณามอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญ
1. ถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 19 พฤศภาคม 2563 โดยได้มีการเพิ่มเติมประเด็นเกี่ยวกับโควิด-19 และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ (1) การแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างหนัก (2) การสนับสนุนด้านเทคนิค การเงิน หรือมาตรการ ที่เหมาะสมแก่ประเทศสมาชิก โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยและกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ (3) การส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยในการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรคตลอดจนการเข้าถึงวัคซีนและยาอย่างเท่าเทียมกัน (4) การยกระดับความร่วมมือเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือคนชาติของประเทศสมาชิกที่อาศัย ทำงานและศึกษา ในประเทศสมาชิกสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียด้วยกัน (5) การกระชับความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน โดยการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียโดยเฉพาะความเชื่อมโยงทางทะเล การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การอำนวยความสะดวกการค้าทางทะเล รวมถึงพิธีการด้านศุลกากร และ (6) การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายเสรีของสินค้าที่จำเป็น รวมถึงอาหาร เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทาการแพทย์
2. สาระสำคัญของถ้อยแถลงของผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ
2.1 ผู้แทนประเทศไทยได้แจ้งที่ประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย และการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลไทยในการควบคุมการติดเชื้อภายในประเทศ และได้เสนอแนวทางความร่วมมือในอนาคต ได้แก่ (1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนาด้านสาธารณสุข (2) การให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยและกลุ่มเปราะบาง โดยมุ่งส่งเสริมความสามารถด้านดิจิทัล เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการสร้างงานที่มีคุณภาพ (3) การเปิดตลาดและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุน รวมทั้งการเสริมสร้างความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานผ่านความเชื่อมโยงในทุกมิติ และการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาเศรษฐกิจภาคทะเล และ (4) การส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร
2.2 ทุกประเทศแสดงความเห็นสอดคล้องกันในเรื่องต่าง ๆ ที่ระบุในถ้อยแถลงร่วมของการประชุมฯ โดยเน้นความร่วมมือด้านสาธารณสุข การแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างประเทศสมาชิก การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่เปราะบาง และการส่งเสริมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยและกลุ่มเปราะบางและการเคลื่อนย้ายเสรีของสินค้าที่จำเป็น จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นำไปดำเนินการใรส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
26. เรื่อง ร่างข้อเสนอเรื่องมาตรการการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการต่อร่างข้อเสนอของสิงคโปร์ เรื่องมาตรการการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารโลก
2. หากมีการปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
3. อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือผู้แทนให้การรับรองร่างข้อเสนอของสิงคโปร์ เรื่องมาตรการการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารโลกในการประชุมคณะมนตรีใหญ่องค์การการค้าโลกที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ธันวาคม 2563 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
สาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 สิงคโปร์ได้นำเสนอร่างข้อเสนอเรื่องมาตรการการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารโลกต่อที่ประชุมคณะกรรมการอาเซียน ณ นครเจนีวา เพื่อขอการสนับสนุน โดยมีสาระสำคัญว่า สมาชิกองค์การการค้าโลกจะไม่ใช้มาตรการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าอาหารที่ซื้อโดยโครงการอาหารโลก ซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์และเป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Non-Commercial and Humanitarian Purchases) ขององค์การอาหารโลก และจะนำเสนอร่างข้อเสนอดังกล่าวให้ประเทศสมาชิกรับรองในการประชุมคณะมนตรีใหญ่ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ธันวาคม 2563
ทั้งนี้ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะหน่วยงานของไทยที่ประสานงานร่วมกับโครงการอาหารโลกแจ้งว่า ที่ผ่านมาไทยได้บริจาคสินค้าประเภทอาหาร เช่น ข้าว น้ำตาล แป้งมันสำปะหลัง ให้แก่โครงการอาหารโลก อาทิ ปี 2544 ได้บริจาคข้าวจำนวน 3,000 ตัน ให้แก่อัฟกานิสถาน และในปี 2554 ได้บริจาคข้าวจำนวน 20,000 ตัน เพื่อให้ความช่วยเหลือเฮติในกรณีแผ่นดินไหว นอกจากนี้ ไทยยังได้บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการอาหารโลก เช่น เมื่อปี 2554 ไทยบริจาคเงินจำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศแอฟริกา และล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2562 ไทยในฐานะประธานอาเซียนได้มอบเงินช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรมผ่านโครงการอาหารโลกจำนวน 150,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจจำเป็นเร่งด่วนในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่และโภชนาการของผู้พลัดถิ่นในบังคลาเทศ
โครงการอาหารโลกแจ้งว่า ได้จัดซื้อสิ่งของเพื่อการบริโภคจากไทย ดังนี้
ปี |
สินค้า |
ปริมาณ (ตัน) |
มูลค่า (เหรียญสหรัฐฯ) |
2560 |
รวม |
1,900 |
948,800 |
ข้าว |
1,900 |
948,800 |
|
2561 |
รวม |
19,592 |
9,379,906 |
ข้าว |
19,592 |
9,379,906 |
|
2562 |
รวม |
3,129 |
1,919,571 |
ข้าว |
2,959 |
1,621,276 |
|
ทูน่ากระป๋อง |
170 |
298,295 |
เมื่อนำปริมาณที่โครงการอาหารโลกซื้อทั้งหมดเปรียบเทียบกับปริมาณที่โครงการอาหารโลกซื้อจากไทย ระหว่างปี 2560-2562 จะพบว่า โครงการอาหารโลกซื้อสินค้าจากไทย ได้แก่ ข้าว และทูน่ากระป๋อง มีสัดส่วนระหว่างร้อยละ 0.29-ร้อยละ 5.37 ของการจัดซื้อสินค้าดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อย เนื่องจากโครงการอาหารโลกให้ความสำคัญสูงสุดกับการจัดซื้อภายในพื้นที่เพื่อลดค่าใช้จ่ายและระยะทางในการขนส่งไปยังประเทศที่ขอรับการช่วยเหลือ ซึ่งสินค้าไทยมีคุณภาพและราคาค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไทยจึงไม่ใช่แหล่งการจัดซื้ออาหารที่สำคัญของโครงการอาหารโลก ดังนั้น การยกเว้นมาตรการการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารโลกจึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อปริมาณอาหารในประเทศของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
27. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 20
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์เอมิเรตส์ของการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 20 ( 20th Indian Ocean Rim Association Meeting of the Council of Ministers The Emirates Communique) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างแถลงการณ์เอมิเรตส์ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนความร่วมมือในภูมิภาค สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ส่งเสริมความร่วมมือและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการรับมือกับโรคโควิด-19 (2) รับทราบความคืบหน้าของแผนปฏิบัติสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (ค.ศ. 2017-2021) และการเตรียมจัดทำแผนปฏิบัติการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียฉบับใหม่ (ค.ศ. 2022-2026) (3) เห็นชอบให้ศรีลังกาและอินเดียเป็นรองประธานสมาคมฯ วาระปี ค.ศ. 2021-2023 และ ค.ศ. 2023-2025 ตามลำดับ (4) รับรองฝรั่งเศสเข้าเป็นประเทศสมาชิกของสมาคมฯ ลำดับที่ 23 (5) รับทราบการพัฒนาการของคณะทำงานใน 6 สาขาความร่วมมือและ 2 ประเด็นคาบเกี่ยว (6) รับทราบการปรับปรุงการบริหารจัดการของสมาคมฯ และ (7) รับทราบการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการของสมาคมฯ คนปัจจุบัน
แต่งตั้ง
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งตั้ง นางพรทิพย์ สูตะบุตร ผู้อำนวยการกองจัดทำงบประมาณด้านความมั่นคง 2 สำนักงบประมาณ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (นักบริหารสูง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายศรายุทธ ทองกูล ที่ปรึกษาด้านข่าวกรองความมั่นคงและสถาบันหลัก (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (นักบริหารสูง) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง
พลตำรวจตรี นันทชาติ ศุภมงคล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายกริชเพชร ชัยช่วย รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมเจ้าท่า ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมการขนส่งทางบก ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมทางหลวง ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมท่าอากาศยาน
4. นายปัญญา ชูพานิช รองผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
5. นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมทางหลวง ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมการขนส่งทางราง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อเป็นการสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ณ นครเจนีวา สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสาวสุนันทา กังวานกุลกิจ เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ณ นครเจนีวา สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
33. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าว ครบ 4 ปี ในวันที่ 25 มกราคม 2564 ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2565 ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี