ทบ.นำคณะทูต-สื่อตปท.พิสูจน์‘เขมร’
ล็อกเปายิงคนไทย
ซัดบิดเบือนความจริง-ใช้อาวุธเคมี
‘บิ๊กเล็ก’แจงขอถกGBCที่มาเลย์
ห่วงความปลอดภัยทีมเจรจา
แฉรบ.เขมรยุปชช.เกลียดไทย
เคาะส่ง2ทหารกัมพูชากลับ
ศบ.ทก.รายงานสถานการณ์ชายแดนประจำวันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทบ.นำเอกอัครราชทูต-อุปทูต-ผู้แทน รวม 11 ประเทศ และผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ ลงพื้นที่ศรีสะเกษพิสูจน์ทหารเขมรล็อกเป้ายิงพลเรือน โจมตี โรงเรียน-โรงพยาบาลด้วยอาวุธหนัก ทบ.เก็บทุกเม็ด ฟ้องคณะทูตไล่ไทม์ไลน์ย้ำเขมรจุดไฟชายแดน จัดกิจกรรมยั่วยุ รุกอธิปไตย เปิดฉากยิงสู่การสู้รบ ใช้ประชาชนโล่มนุษย์ บิดเบือนข้อมูลให้ร้ายไทยใช้อาวุธเคมี ลั่นไทยต้องปกป้องอธิปไตย-คนไทย แต่ยึดกฎบัตรยูเอ็น ใช้อาวุธในสัดส่วนที่เหมาะสม ประณามการบิดเบือนข้อมูลของเขมรที่มีมาต่อเนื่อง กองทัพส่งกลับ 2 ทหารเขมรเหตุป่วยหนัก-สติฟั่นเฟือน แต่ให้สาบานไม่เข้าร่วมรบกับไทยอีก ด้าน “บิ๊กเล็ก”แจงเหตุต้องย้ายถกจีบีซีที่เมาเลย์ เพราะห่วงทีมงานไม่ปลอดภัย เหตุรบ.เขมรปลุกปั่นปชช.ให้เกลียดไทย และตามหลักสากลต้องเจรจาในปท.ที่เป็นกลาง ปัดการร้องขอผู้สังเกตการณ์ร่วม ยันเป็นการถกทวิภาคี
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 1 สิงหาคม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
พบโดรนไม่ทราบฝ่ายบินเหนือ4จว.
ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย บันทึกเหตุการณ์พิพาทบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา วันที่ 31 กรกฎาคม ตามรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปเหตุการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ดังนี้
ตรวจพบการเสริมกำลังและสร้างความมั่นคงของฝ่ายกัมพูชา ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พบการใช้อากาศยานไร้คนขับ (ไม่ทราบฝ่าย/ชนิด) บินตรวจการณ์บริเวณที่ตั้งฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ ได้แก่ ช่องอานม้า (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี), ภูมะเขือ, สัตตะโสม, ปราสาทโดนตรวล, ภูผี (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ), ช่องจอม (อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์) และช่องสายตะกู (อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์)
แฉเขมรลอบวางทุ่นระเบิดที่ตาควาย
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงสรุปสถานการณ์พื้นที่รอบปราสาทตาควายว่า แม้ยังไม่สามารถวางกำลังที่ตัวปราสาทตาควายได้ แต่กองทัพไทยสามารถขยายการควบคุมพื้นที่โดยรอบเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายทางทหาร โดยมุ่งเน้นการยึดพื้นที่สูง ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มากกว่าตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำ จุดยุทธศาสตร์หลักคือ “เนิน 350” ซึ่งฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นฐานยิงโจมตี การเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญ แต่ต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา นอกจากนี้ การเคลื่อนกำลังเข้าพื้นที่ยังถูกขัดขวางด้วยสนามทุ่นระเบิด ส่งผลให้ ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งกระทบต่อการรุกขั้นสุดท้าย ขณะนี้อยู่ในช่วงหยุดยิง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารเพิ่มเติม
ปชช.ดับ17-เจ็บ55/ทหารดับ15-เจ็บ196
นอกจากนี้ กองบัญชาการกองทัพไทยยังสรุปสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบ ยอดสะสมถึงวันที่ 31 กรกฎาคมว่า พลเรือนเสียชีวิต 17 รายบาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย รวม 55 ราย ส่วนทหาร เสียชีวิต 15 นาย บาดเจ็บ 196 นาย รวม 211 นาย
สำหรับสถานการณ์อพยพ มีการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่ศูนย์พักพิงใน 7 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 141,115 คน ดังนี้: อุบลราชธานี: 22,171 คน ศรีสะเกษ: 48,621 คน สุรินทร์: 54,471 คน บุรีรัมย์: 15,159 คน สระแก้ว: 481 คน จันทบุรี: 212 คน
ส่ง2ทหารเขมรกลับ‘ป่วยหนัก-ฟั่นเฟือน’
ด้านพลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุถึงการควบคุมตัวทหารกัมพูชา 18 นาย หลังเหตุปะทะในพื้นที่ซำแต จ.ศรีสะเกษว่า ปัจจุบันทหาร กัมพูชา ที่ควบคุมตัวได้ในพื้นที่การรบมี 20 คน ดำเนินการไปตามกระบวนการขั้นตอนของฝ่ายทหาร โดยปฏิบัติตามกฏบัตรสหประชาชาติ และอนุสัญญาเจนีวา ในสถานะเชลยศึก ยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 ดูแลอย่างดีตามหลักมนุษยธรรมที่เป็นสากล โดยวันนี้ได้ส่งกลับกัมพูชา 2 คน เนื่องจากป่วยหนักและสติฟั่นเฟือน ซึ่งตามอนุสัญญาเจนีวาระบุให้สามารถส่งกลับได้สำหรับกรณีดังกล่าว กองทัพภาคที่ 2 จึงพิจารณาส่งกลับไป ทำให้เหลืออยู่การควบคุม18 คน
โดยทหารเขมรที่ไทยส่งกลับ ได้แก่ สิบเอก มอม ริทธี ได้รับบาดเจ็บแขนหัก และมีบาดแผลเน่าที่สะโพกด้านขวาเป็นรูขนาดใหญ่ ได้รักษาตัวเบื้องต้นแล้ว และว่าที่ ร้อยตรี อาง เอื้อง ซึ่งมีอาการทางจิต คาดว่าเกิดจากความเครียดจากการสู้รบ โดยได้รับการบำบัดขั้นต้นแล้ว การส่งตัวทหารทั้งสองคนกลับมาตุภูมิ แม้เป็นการส่งตัวตามหลักมนุษยธรรม แต่ทั้งสองให้คำสัตย์สาบานว่าจะไม่เข้าทำการรบกับฝ่ายไทยอีก ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม
เขมรรับข้อเสนอถกจีบีซีที่มาเลย์
ความคืบหน้ากรณีกัมพูชาทำหนังสือเชิญ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานรักษาการ รมว.กลาโหม เพื่อไปประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย - กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 โดยกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ แต่รมช.กลาโหมไทยเห็นว่า ตามหลักสากล จะไม่ประชุมในประเทศที่มีปัญหาต่อกัน โดยจะประชุมในประเทศที่เป็นกลาง พร้อมยืนยันว่า ประเทศที่สามคือมาเลเซีย เพราะเป็นตัวกลางประสานอยู่แล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวกัมพูชา Fresh News รายงานว่า กัมพูชา เห็นด้วยกับข้อเสนอของ’ประเทศไทย’ในการเปลี่ยนสถานที่ประชุมพิเศษของคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) เป็นประเทศมาเลเซีย พร้อมเสนอให้มีตัวแทน 3 ประเทศ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน เข้าร่วมสังเกตการณ์ โดยระบุว่า พล.อ.เตีย เซ็ยฮา (TEA Seiha) รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกัมพูชา ทําหนังสือตอบกลับถึงพล.อ.ณัฐพลยืนยันนำคณะมาร่วมประชุมจีบีซี ในสถานที่ที่เป็นกลางอย่างมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 4 -7 สิงหาคม
แจงเหตุย้ายปท.ถกห่วงทีมเจรจาไทย
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ศบ.ทก. ถึงการประชุมคณะกรรมการ ชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ที่ไทยขอเปลี่ยนสถานที่ประชุมจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไปที่ประเทศมาเลเซียว่า ทราบจากผู้ช่วยทูตทหารประจำกัมพูชาแจ้งกลับมาว่ากัมพูชาตอบรับแล้ว เพราะเราได้แจ้งไปว่า รัฐบาลกัมพูชาให้ข่าวที่ทำให้ประชาชนกัมพูชาเกลียดชังคนไทย ดังนั้น การที่ประชุมต้องไปประชุมหลายวันอาจเกิดความไม่เรียบร้อยได้ จึงอยากให้ไปประชุมในประเทศที่สาม ซึ่งเราได้ประสานมาเลเซียแล้ว และกัมพูชาได้ตอบรับแล้ว ส่วนสาเหตุที่ขอขยายระยะเวลาประชุมจากวันเดียวเป็น 3 วันเพราะวาระที่เราเตรียมการไปหารือเวลาเพียงหนึ่งวันไม่น่าจะจบ และหากประชุมวันที่ 4-7 ส.ค. ยังไม่จบ อาจต้องขยายเวลาหรือเลื่อนไปประชุมครั้งต่อไป โดยเราคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ ถ้าไม่เป็นไปตามที่กำหนดก็ต้องพิจารณาเลื่อนไปครั้งต่อไป จนกว่าจะได้ตามที่รัฐบาลมุ่งหมาย
ชี้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุที่เปลี่ยนสถานที่เป็นเพราะไม่ไว้ใจกัมพูชา ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ใช่ไม่ไว้ใจกัมพูชา แต่เราไม่ไว้ใจสถานการณ์ ตอนนี้เขาปลุกปั่นทำให้คนกัมพูชาไม่เข้าใจคนไทย การที่เราไปประชุมและอยู่ท่ามกลางคนกัมพูชา ลองคิดดูว่าระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค. ซึ่งฝ่ายเลขาฯของเราอยู่ที่นั่นจะเป็นอย่างไร ตนเป็นห่วงทีมงาน จึงคิดว่าไม่เหมาะสม จึงต้องพูดคุยกัน และตนไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เราอยู่ในช่วงเจรจาหยุดยิง ทำไมฝ่ายกัมพูชาจึงออกข่าวสร้างความไม่เข้าใจให้กับประชาชน ทั้งที่ฝ่ายเราพยายามยึดว่าความตึงเครียดที่เกิดจากรัฐบาล ประชาชนไม่เกี่ยว ตนพูดกับประชาชนเสมอให้ปฏิบัติกับคนกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทยตามปกติ เพราะเขาไม่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล แต่ทางกัมพูชาพูดให้คนมีความรู้สึกไม่ดีกับคนไทย การที่คณะกรรมการของเราไปอยู่ที่นั่น 3 วัน เป็นเรื่องที่ทำให้เรากังวล เราจึงขอเปลี่ยนสถานที่เพื่อความเรียบร้อย
อุบสาระถกจีบีซีหวั่นทำไทยเสียเปรียบ
ถามว่าเป้าหมายที่เราจะไปยื่นต่อกัมพูชา รวมถึงสิ่งที่เราจะไม่ยอมรับจากกัมพูชามีอะไรบ้าง พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า หากตนพูดไปเขาจะทราบหมด ต้องขออภัยด้วย ถามย้ำว่า ในการเจรจาจะหยิบยกพื้นที่ปราสาทตาควายมาคุยด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า สิ่งที่ถามมานี้ เป็นเรื่องที่ตนต้องขอไว้ก่อน ต้องขออภัย อะไรตอบได้จะตอบ แต่บางเรื่องที่ตอบไปแล้วทำให้เราเสียเปรียบ ต้องขออภัยสื่อ แต่ยืนยันว่าตนตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเราอยู่ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชน ตนเลยเครียดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนพอใจ ซึ่งจะพยายาม
ติงไม่น่ามีผู้สังเกตการณ์เพราะถกทวิภาคี
ถามอีกว่า การประชุมครั้งนี้จะมีผู้สังเกตการณ์เป็นจีนและสหรัฐอเมริกาเหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงไม่ใช่ ต้องหารือแต่ผมต้องหารือกับหน่วยที่เกี่ยวข้องก่อน เพราะเพิ่งทราบจากฝ่ายเลขาฯว่ามีการขอผู้สังเกตการณ์ แต่ความคิดของตน ครั้งนี้เป็นการประชุมแบบทวิภาคี เป็นกลไกปกติที่คุย 2 ประเทศ ต่างจากการเจรจาหยุดยิงเมื่อครั้งที่แล้วที่เป็นการไกล่เกลี่ย แต่ครั้งนี้เป็นการประชุมทวิภาคี และในเงื่อนไขการเจรจาครั้งที่ผ่านมาก็ไม่มีเรื่องนี้
เมื่อถามถึงกรณีสื่อกัมพูชาและสื่อมาเลเซียเสนอข่าวว่ารัฐบาลสวีเดนจะระงับการเซ็นสัญญาซื้อขายเครื่องบินกริพเพนให้กับไทย หลังถูกนำมาใช้โจมตีทางอากาศช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ แต่ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะความสัมพันธ์ของไทย-สวีเดนไม่มีปัญหา
ทบ.ขนทูต-ผช.ทูตทหาร34ปท.ลุยศรีสะเกษ
ช่วงเช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าอากาศยานกองบิน6 (บน.6,)ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ศปส.ทบ.) นำคณะ ผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ และสื่อมวลชน สังเกตการณ์พื้นที่พลเรือน โรงพยาบาล ที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ ได้รับความเสียหาย การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา
จากนั้นเดินทางไปพื้นที่ทหารกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ สถานีบริการนำมัน ปตท.บ้านมือ ต.หนองหญ้าลาดือ.กัทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้คนไทยเสียชีวิต 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ปี บาดเจ็บ 10 คน และเดินทางต่อ ร.ร.ภูมิชรอลวิทยา ต.เสาธงชัย เพื่อสังเกตการณ์ พื้นที่เสียหาย และเดินทางไปยังรพ.สต.บ้านชำเม็ง ต.เสาธงชัย สังเกตการณ์ พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ก่อนเดินทางต่อไปยังศูนย์พักพิง วิทยาลัยเทคโนโลยี กันทรลักษ์
โดย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.)เผยว่า การพาเอกอัคราชทูต อุปทูต ทูตทหาร สื่อต่างประเทศ รวมทั้งสื่อไทยในพื้นที่รวมเกือบ 200 คนลงพื้นที่จ.ศรีสะเกษ โดยเฉพาะสถานที่หรือจุดเกิดเหตุจริง ซึ่งแต่ละจุดห่างจากพื้นที่สู้รบหลาย 10 กิโลเมตร โดยต่างประเทศที่ไปสังเกตดูทุกคนก็ยังพูดถึงกองทัพบกที่ออกมาชี้แจงได้ให้กำลังใจเป็นการส่วนตัวว่า เราตอบสนองต่อข่าวได้เร็วมาก ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้
สำหรับ เอกอัครราชทูต 3 ประเทศ:บรูไน, ญี่ปุ่น, เมียนมา ระดับ อุปทูต 3 ประเทศ : มาเลเซีย, สปป. ลาว, อินโดนีเซีย, ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 5 ประเทศ สหรัฐฯ, สิงคโปร์, จีน, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ รวม 11 ประเทศ ผู้ช่วยทูตทหาร รวม 23 ประเทศ 1. จีน 2. มาเลเซีย 3. ปากีสถาน 4. เกาหลีใต้ 5. รัสเซีย 6. สิงคโปร์ 7. เยอรมัน 8. อินเดีย 9. ลาว 10. แคนาดา 11. ฝรั่งเศส 12. สหรัฐอเมริกา 13. ฟิลิปปินส์ 14. ญี่ปุ่น 15. เวียดนาม 16. อิตาลี 17. เนเธอร์แลนด์ 18. อินโดนิเซีย 19. สวีเดน 20. สวิตเซอร์แลนด์ 21. บรูไน 22. ทูร์เคีย 23. สหราชอาณาจักร
ทบ.ร่ายยิบไทม์ไลน์ฟ้องทูตเขมรจุดไฟรบ
จากนั้นเวลา 10.40 น. ที่ ที่มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพบก (ทบ.) กระทรวงกลาโหม กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อคณะนักการทูต คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำประเทศไทย สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ โดยพ.อ.พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบกแถลงชี้แจง การดำเนินงานของกองทัพ ในการรักษาอธิปไตย และยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่นของกองทัพที่จะแก้ปัญหาด้วยทวิภาคีที่ไทยและกัมพูชามีอยู่ ด้วยจริงใจและสันติวิธีมาตลอด ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ เพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหาร และพลเรือน มีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้
13 กุมภาพันธ์ 2568 พานักท่องเที่ยวขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 28 กุมภาพันธ์ 2568 เผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์ความร่วมมือไทย กัมพูชา และลาว มีนาคมถึงเมษายน 2568 ทหารกัมพูชา ดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดน เพื่อทางการทหาร เสริมความแข็งแรงของที่มั่น ปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูเลตเข้ามาในเขตประเทศไทย
เมษายนถึง พฤษภาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนไทย-กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ทราบจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมากัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทยขุดคูเลต
แฉล้ำอธิปไตยลอบวางทุ่นระเบิด-ยั่วยุ
28 พฤษภาคม 2568 กัมพูชาเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยตอบโต้ เป็นการป้องกันตัวบริเวณช่องบก กองทัพและรัฐบาลไทยพยายามใช้การแก้ปัญหาแบบทวิภาคีซึ่งไม่เป็นผล
เดือนกรกฎาคม 2568 ทหารกัมพูชารุกล้ำมาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่
ในเขตแดนไทย ทำให้ทหารไทยลาดตระเวนบาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึงสองครั้ง ทหารขาขาด 2 นาย มีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่กัมพูชาจงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้ง จงใจละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทยและกัมพูชาให้สัตยาบรรณ นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าวได้เก็บกู้วัตถุระเบิด ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติ จนปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชาพยายามแสดงการยั่วยุ โดยส่งทหารกัมพูชาทั้งในและนอกเครื่องแบบแสดงเป็นพลเรือน ตลอดจนตั้งมวลชนชาวกัมพูชาจากกรุงพนมเปญและใกล้เคียง เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาททตาเมือนและพื้นที่อื่นตามแนวชายแดน เพื่อจัดกิจกรรมทำคอนเทนต์แสดงออกลักษณะยั่วยุนักท่องเที่ยวชาวไทย ประชาชนไทยและทหารไทยในพื้นที่จนเกิดกระทบกระทั่ง เสี่ยงเกิดการปะทะระหว่างคนไทยและกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทต่างๆ
ระดมอาวุธหนักโจมตีชายแดนคนไทยดับ15
พ.อ.พัฒนายังชี้แจงมาตรการควบคุมชายแดนและการเปิดฉากยิงของกัมพูชา เมื่อ 24 กรกาคม 2568 ทหารกัมพูชา ปราสาทตาเมือนธม โดยใช้ปืนเล็กยาว ปืน และเครื่องยิงลูกระเบิด mortar นำไปสู่การปะทะ
จากนั้นฝ่ายกัมพูชายกระดับเป็นการใช้กำลังรบ และอาวุธยิงสนับสนุน ปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน จงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งห่างจากชายแดนเกือบ 10- 30 กม.โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ปั๊มน้ำมัน PTT บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โรงเรียนในจ.สุรินทร์และศรีสะเกษ บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุดเชียง ในพื้นที่จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์,ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิต 1 ในนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 8 ปี และมีราษฎรต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน
ยันไทยตอบโต้ป้องกันตัวตามกฎบัตรUN
ผู้แทนกรมการข่าวทหารบกกล่าวต่อว่า ฝ่ายไทยตอบโต้ภายใต้หลักการป้องกันตนเอง(Right of Self-Defense) ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ(Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุ“ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น” การตอบโต้ของฝ่ายไทยจึงชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน เป้าหมายเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน รักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมิได้มีเจตนารุกรานหรือกระทำการใด ที่เกินขอบเขตการป้องกันตนเองจากการคุกคามโดยฝ่ายกัมพูชา
ฉะเขมรใช้โล่ห์มนุษย์ไร้มนุษยธรรม
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยืนยันโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้การโจมตีแบบ indiscriminate target ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย นอกจากนี้ ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนในเขตชุมชนพลเรือน เสมือนใช้โล่ห์มนุษย์ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ไปเป้าหมายดังกล่าว ถือเป็นการเจตนาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่มีประเทศอารยธรรมใดในโลกที่ยอมรับการกระทำ ซึ่งไร้มนุษยธรรมในลักษณะดังกล่าว
พ.อ.พัฒนายังสรุปสถานการณ์ปัจจุบันว่า กัมพูชายังดำเนินการทางทหาร หลังมีการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมแล้ว เวลาหลังเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ในพื้นที่ดังต่อไปนี้ (1) Chong Bok Area, Ubon Ratchathani Province (2) Sam Tae Area, Si Sa Ket Province (3) Pha Mor E Daeng, Si Sa Ket Province (4) Phu Ma Khua/Khanmar Area, Si Sa Ket Province (5) Phlan Yao Area, Si Sa Ket Province (6) Ta Kwai Temple, Surin Province
นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจนถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 05.10 น. และเมื่อ 31 กรกฎาคม 2568 ตรวจพบทหารกัมพูชาเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย และใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ตอนในของฝ่ายไทย อย่างมีนัยสำคัญ
ซัดบิดเบือนไทยรุกราน-โต้ใช้อาวุธเคมี
พ.อ.พัฒนาแถลงถึงการตอบโต้การบิดเบือนข้อมูล กัมพูชากล่าวหาว่าไทยรุกรานกัมพูชา และละเมิดกติกาสหประชาชาติ อำนาจอธิปไตยและอาณาเขตรัฐ ซึ่งตามข้อเท็จจริง ไทยเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติที่เคารพกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด รวมถึงหลักการไม่ใช้กำลังแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ (Article 2(4) UN Charter) ยืนยันการปฏิบัติของฝ่ายไทย เป็นการป้องกันตนเองอย่างจำเป็นและได้สัดส่วน (necessity & proportionality) ตามสิทธิที่ระบุไว้ใน Article 51 ของกฎบัตรฯ หลังฝ่ายกัมพูชา ใช้อาวุธโจมตีด่านทหาร ฝ่ายปกครอง และชุมชนไทยหลายพื้นที่ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากำลังฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนเข้ามาในเขตแดนไทยหลายครั้ง พร้อมใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายฝ่ายไทย โดยเฉพาะเป้าหมายพลเรือน เช่น โจมตีรพ.พนมดงรัก ซึ่งห่างจากชายแดนเกือบ 10 กิโลเมตร ปั้มน้ำมันบ้านผือ ที่ห่างจากชายแดน 30 กิโลเมตร
“สำหรับการใช้ระเบิดเคมี เป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงและไร้มูลความจริงสิ้นเชิง ไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี(Chemical Weapons Convention - CWC) และปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่มีหน่วยใดในกองทัพไทยที่ใช้อาวุธเคมี ทั้งแง่ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์ การกล่าวหาเช่นนี้เข้าข่าย war propaganda และเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อใส่ร้าย”ผู้แทนกองทัพระบุ และว่า กรณีภาพ“ระเบิดเคมี” ที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ โดยรัฐบาลกัมพูชาแท้จริงคือ ภาพภารกิจการดับไฟ้ป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ปี2022 ซึ่งสามารถดูภาพดังกล่าวได้ผ่านทางสื่อออนไลน์
ยันไทยใช้อาวุธตอบโต้เหมาะสมสกัดรุกล้ำ
ส่วนที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 และอาวุธหนักจำนวนมากนั้น อาวุธทั้งหมดที่ใช้ตอบโต้และมีความเหมาะสมตามสัดส่วน เป็นเพื่อสกัดการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชา และกระทำต่อเป้าหมายทางทหาร บริเวณแนวชายแดน ไม่ใช่การโจมตีเชิงรุก แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่วางกำลังและยิงอาวุธจากพื้นที่พลเรือน ใช้ชุมชนเป็น “โล่มนุษย์” ซึ่งเป็นการละเมิด International Humanitarians Laws อย่างร้ายแรง
จี้เขมรหยุดปล่อยข่าวเท็จกล่าวหาไทย
พ.อ.พัฒนากล่าวถึงประเด็นกล่าวหาไทยใช้ระเบิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนกัมพูชา ตามคำแถลงของ นายเฮง รัตนา หัวหน้า CMAC ของกัมพูชา มีลักษณะชัดเจนของการบิดเบือนข้อมูล โดยอ้างภาพเก่าและสร้างการเชื่อมโยงที่ไม่มีมูลความจริง ฝ่ายไทยขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งภาพวัตถุระเบิดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็น MK-84 นั้น เป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเวียดนาม และไม่เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ ไทยขอประณาม และให้กัมพูชาหยุดการกล่าวหาอันเป็นเท็จ เพื่อปลุกปั่นกระแสความเกลียดชัง และให้หันมาร่วมมือกับไทย และประชาคมระหว่างประเทศคลี่คลาย สถานการณ์ชายแดนอย่างสันติผ่านการเจรจาและความร่วมมือที่ตรงไปตรงมา
“เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา กัมพูชาเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำกัมพูชาไปตรวจพื้นที่การรบห่างจากชายแดน 30 กม. แต่กัมพูชากลับเปลี่ยนแผน พาคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำกัมพูชา ไปพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบ ยังเสี่ยงต่ออันตราย”
พ.อ.พัฒนาสรุปช่วงท้ายโดยเน้นย้ำว่า การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อเป้าหมายพลเรือน ทำให้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งยอมรับไม่ได้ หลังการเจรจาตกลงหยุดยิงแล้ว กัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นกัมพูชา เผยแพร่ข่าวสารบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบ ขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจ และร่วมกันผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
8ครอบครัวเหยื่อBM21ขอความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังบรรยายสรุปให้คณะทูตแล้ว ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ศปส.ทบ.) นำคณะทั้งหมดลงพื้นที่ปั้มน้ำมัน ปตท.บ้านมือ ต.หนองหญ้าลาดือ.กัทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษดูความเสียหาย ทหารกัมพูชายิงจรวดBM-21ใส่ร้านสะดวกซื้อ ทำให้คนไทยเสียชีวิต 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ปี บาดเจ็บ 10 คน โดยครอบครัวผู้เสียชีวิตได้ถือกรอบรูปผู้เสียชีวิตมาร้องความยุติธรรมกับกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานความมั่นคง และทูตต่างประเทศ จากนั้นคณะเดินทางไปโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านซำเม็ง ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกทบ.เผยว่า พื้นที่ที่เสียหายส่วนใหญ่อยู่ห่างพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร แต่ได้รับผลกระทบ เป็นผลจากใช้อาวุธระยะไกลจากฝั่งกัมพูชา มาถึงตรงนี้ห่างจากแนวชายแดน 30 กม. ผิดกฏหมายหลักมนุษยธรรม ส่วนสาเหตุที่นำคณะทูตและสื่อมวลชนมาจุดนี้พื้นที่แรก เนื่องจากได้รับผลกระทบตั้งแต่วันแรกที่มีการใช้อาวุธ จุดนี้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากตรงนี้มีบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน ซึ่งเข้าเงื่อนไขสิทธิมนุษยชน เราต้องการเสนอข้อเท็จจริงให้สังคมโลกรับทราบ เพราะฝั่งกัมพูชาพยายามสื่อสารเหมือนกัน แต่เนื้อหาและความน่าเชื่อถือไม่ได้ แต่ไทยที่ทำทุกอย่างบนพื้นฐานข้อเท็จจริง
ลูกสาวเจ้าของปั้มเปิดจม.เล่านาทีถล่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ระหว่างลงพื้นที่ บุตรสาวเจ้าของปั๊มน้ำมันได้เขียนจดหมายบอกเล่าเหตุการณ์ให้คณะทูตและสื่อมวลชนฟัง เนื้อหาโดยสรุปว่า “ฉันเป็นลูกสาวเจ้าของปั๊มน้ำมันแห่งนี้ และอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ลูกระเบิดตกลงมาในร้าน 7 - 11 ขณะนั้นฉันอยู่ในร้านคาเฟ่อเมซอนที่อยู่ห่างจากร้าน 7 - 11 ประมาณ 20 เมตร ทั้งสะเก็ดและแรงระเบิด ปลิวมาถึงร้านที่ฉันนั่งอยู่ หลังจากนั้นฉันกับพนักงานพากันวิ่งออกมาจากร้าน และได้เห็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ ขณะที่คนที่อยู่รอบบริเวณปั๊มน้ำมันต่างพากันวิ่งหลบหนีตายกันอย่างชุลมุน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี